รีวิว ทดสอบ ORA Good Cat GT ครบเครื่องเรื่องออปชัน แต่งโดนใจวัยสปอร์ตและขับสนุกขึ้น

Spread the love

 

ก่อนหน้านี้ได้ลองขับ ORA Good Cat กันไปแล้ว นั่นก็ต้องบอกเลยว่าชอบมาก แต่ล่าสุด Techmoveon ได้รับการเชื้อเชิญจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ พาเราไปทดลองขับรถยนต์ที่จะเปิดตัวรุ่นต่อไปของแบรนด์ ORA ซึ่งนั่นก็คือ ORA Good Cat GT ที่ GWM ให้นิยามว่าเป็น Next Level of the Future ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่จะช่วยรักษาตำแหน่งผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้า (xEV Leader) แบบไม่ให้หลุดไปไหน

 

แว๊บแรกที่เห็นหน้าตาเจ้าเหมียวไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้ ต้องบอกเลยว่า ถ้าใครรู้สึกว่ารุ่นปกติดูหน่อมแน้ม น่ารัก และไม่เหมาะกับบุคลิกแมน ๆ รับรองได้เลยว่าต้องชอบในตัว ORA Good Cat GT แน่ ๆ เพราะด้วยกระจังหน้าดีไซน์สปอร์ตลายคาร์บอนไฟเบอร์ สปอยเลอร์ดีไซน์โฉบเฉี่ยวพร้อมตราสัญลักษณ์ GT ทางด้านหลัง และล้ออัลลอยทูโทนขนาด 18 นิ้ว มาพร้อมกับดิสก์เบรคคาลิปเปอร์สีแดง ทั้งหมดเปลี่ยนโฉมแมวเรโทรให้กลายเป็นแมวสปอร์ตได้อย่างลงตัว

 

ยิ่งมาพร้อมสีอะควาเกรย์ (Aqua Grey) ด้วยแล้ว ต้องบอกเลย แมวเหมียวไฟฟ้าแนวสปอร์ตคันนี้ได้ใจไปเต็ม ๆ ยังไม่นับรวมการตกแต่งภายในที่แทบจะร้องกรี๊ดด้วยความชอบแบบออกนอกหน้า เพราะการตกแต่งสีแดง-ดำ ตัดด้วยเข็มขัดนิรภัยสีแดงสไตล์สปอร์ต รวมถึงพวงมาลัย เบาะนั่ง คอนโซล รวมถึงพนักพิงศีรษะที่มีตราสัญลักษณ์ GT เปลี่ยนอารมณ์จากโทนเดิมที่เคยได้พบเจอกันใจ ORA Good Cat รุ่นปกติไปแบบคนละเรื่อง แม้อุปกรณ์ต่าง ๆ จะยังหน้าตาเหมือนเดิมก็ตาม

 

 

สิ่งหนึ่งที่คิดว่าคนที่สงสัยในคำว่า “GT” ที่เพิ่มขึ้นมานั้น มีแค่การตกแต่งเปลือกเท่านั้นเหรอ ตอบเลยว่าไม่ใช่ เพราะ หัวใจสำคัญอย่างมอเตอร์ขับเคลื่อนก็เปลี่ยนไปเช่นกัน โดย เจ้าเหมียวไฟฟ้าสไตล์สปอร์ต ORA Good Cat GT ยังมาพละกำลังสูงสุด 171 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร (รุ่นปกติมี 143 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร)

 

อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 8.5 วินาที (ซึ่งเพื่อนร่วมทริปทำได้ 7 วิกว่าๆ แรงเกินหน้าที่โรงงานเคลมไปอีก) ความเร็วสูงสุด 152 กม./ชม. (ตอนที่ทดสอบก็ทำได้เกิน 160 กม./ชม. สรุปโรงงานหลอกเราแน่ ๆ ) รองรับด้วยระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระแมคเฟอร์สันสตรัท (MacPherson Strut) พร้อมเหล็กกันโคลง และระบบช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชันบีม (Torsion Beam) ส่วนมิติตัวรถก็อยู่ที่ 1,848 x 4,254 x 1,596 มม. (กว้าง x ยาว x สูง) ส่วนรุ่นเดิมก็อยู่ที่ 1825x4235x1596 มม.

 

สิ่งที่พิเศษเพิ่มมากขึ้นไปอีกสำหรับ GT ก็คือ ระบบขับขี่ทั้งหมดจะมี 5 แบบ ประกอบกันด้วย 1. มาตรฐาน 2. สปอร์ต 3. ECO 4. ECO+ และ 5. อัตโนมัติ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถปรับได้เองตามปริมาณแบตเตอรี่ที่คงเหลือ ซึ่งถ้าเราขับขี่ในโหมด มาตรฐาน และ ECO นั้นคันเร่งก็จะหน่วง ๆ หน่อย ไม่ค่อยได้ฟีลลิ่งของนักแข่งเท่าใด แต่เมื่อปรับมาโหมดสปอร์ตปุ๊บ จิตวิญญาณความบู๊ก็ลงเท้าทันที คันเร่งจะตอบสนองดีแบบที่ใจต้องการ

 

ทั้งแรงม้าและแรงบิดที่เพิ่มขึ้น ก็ส่งผลให้ความสนุกของการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องรอรอบ สนุกมากขึ้นไปอีก ความต่อเนื่องของความเร็วมาแบบไม่ยั้ง แรงดึงที่สม่ำเสมอจนทำให้รถยนต์เครื่องสันดาปบนท้องถนนต้องแอบอิจฉาเพราะแม้ว่าจะพยายามกดตามแค่ไหน ถ้าไม่ใช่ซุปเปอร์คาร์หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่พลังใกล้เคียงกัน ก็ยากที่จะตามทัน

 

 

ความรู้สึกส่วนตัวที่ได้ขับรุ่น GT นี้ พบว่ามันกินพลังงานไฟฟ้าน้อยกว่าตัวปกติ เพราะขนาดกดคันเร่งแบบสุด ๆ เหมือนกัน แต่ตัวเลขการกินไฟกลับไม่ได้ร่วงหล่นเท่าใดนัก เรียกได้ว่าถ้าขับดี ๆ มีโอกาสเห็น 500 กิโลเมตรแบบที่เคลมไว้แน่ ๆ (ไว้รอให้เทสต์ได้แบบยาว ๆ ก่อน จะมาเหลาให้ฟังใหม่) ส่วนช่วงล่างก็ให้ความไว้ใจได้เป็นอย่างดี ไม่ได้แข็งจนกระด้าง แต่ก็ไม่ได้หนึบแน่นเหมือนแบรนด์ยุโรป ส่วนเบรคไม่ต้องพูดถึง โครตดี มั่นใจได้มากมายมหาศาล

 

สิ่งที่เพิ่มขั้นจากรุ่นปกติไปอีกขึ้น ซึ่งน่าจะโดนใจคนที่ชอบออปชันแน่นๆ ก็คือ เบาะคนขับปรับด้วยไฟฟ้าถึง 6 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง Welcome Seat เบาะผู้โดยสารตอนหน้าปรับด้วยไฟฟ้าถึง 4 ทิศทาง แถมด้วยระบบเบาะนวดไฟฟ้าและระบบระบายอากาศสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า และฟังก์ชั่นที่ต้องกรีดร้องอีกอย่างหนึ่งคือเบาะแบบ Welcome Seat ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเข้า-ออกจากรถได้อย่างสะดวกสบาย

 

นอกจากนั้นยังมีประตูท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้าระบบแฮนด์ฟรี ซึ่งในรุ่นนี้ใช้การแกว่งเท้าใต้กันชนด้านหลังช่วยอำนวยความสะดวกผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่ยกของหนัก ไม่ต้องวางของแล้วใช้มือเปิด และหลังคาซันรูฟแบบพาโนรามาที่สามารถเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า ภายในห้องโดยสารยังโดดเด่นไม่ซ้ำใครด้วยส่วนพนักพิงเบาะด้านหลังพับได้แบบ 60:40 วัสดุบุภายในดูดีมีชาติตระกูล ให้ผิวสัมผัสที่ทำให้รู้สึกดีมาก

 

สำหรับความบันเทิงนั้นก็มาพร้อมหน้าจอ Interactive Double Screen หน้าจอพาดยาวบริเวณคอนโซลของตัวรถมีขนาด 17.25 นิ้ว ที่มีความละเอียดสูง แบ่งออกเป็น หน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบดิจิทัล (Full TFT) ขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอระบบมัลติมิเดียพร้อมระบบสัมผัส ขนาด 10.25 นิ้ว การใช้งานและการตั้งค่าต่าง ๆ ก็ยังคงต้องใช้ความเพียรพยายามเหมือนเดิม เพียงแต่ว่ามันรู้สึกเสถียรกว่ารุ่นปกตินิดนึง

 

 

ระบบสั่งการด้วยเสียงอัจฉริยะ สามารถควบคุมการใช้งานฟังก์ชันได้ตลอดเวลาด้วยเสียง สามารถทำให้ได้รับบริการอย่างที่ต้องการ แต่ยังคงต้องพูดชัด ๆ ให้นางรู้เรื่อง ไม่งั้นนางจะให้พูดใหม่ และบางทีก็พบว่าในเวลาที่เราพูดคุยกับเพื่อนร่วมทางนั้น ระบบสั่งการด้วยเสียงนี้ก็แทรกขึ้นมา จนเราไม่รู้ว่าจะบอกนางยังไงดี ว่าเราไม่ได้คุยด้วย

 

สำหรับฟีเจอร์อื่น ๆ นั้นเราก็ยังไม่ได้ลองมากนัก เพราะใช้เวลาและระยะทางในทริปนี้ไม่มากนัก ไม่ว่าจะเป็น ฟังก์ชั่นอินเทอร์เน็ตเพื่อความบันเทิงในรถยนต์ ระบบ Cockpit air filter system พร้อมระบบกรองอากาศ PM2.5 สามารถช่วยลดปริมาณฝุ่น PM2.5 เมื่อเข้าสู่ห้องโดยสาร เอาไว้ให้มาลองแบบนาน ๆ ค่อยจัดเต็มกันอีกที

 

ส่วนระบบความปลอดภัยนั้น ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจทดสอบ แต่ก็จัดมาให้แบบเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันและการเข้าโค้งอัจฉริยะ (ACC) เมื่อระบบทำงาน กล้องจะทำการตรวจสอบความโค้งของถนน และความเร็วจะถูกปรับอัตโนมัติหากจำเป็นต้องลดความเร็วในขณะเข้าโค้งเพื่อความปลอดภัย และเมื่อผ่านโค้งไปแล้ว รถจะกลับเข้าสู่ความเร็วเดิมที่ตั้งไว้ อันนี้จัดว่าดี แต่บางทีก็คล้ายกับมาฝืนตัวเรา

 

 

กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา ประกอบไปด้วยกล้องที่มองได้รอบ 4 ตัวที่มีความละเอียดคมชัด แบบชัดมาก ส่วนระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรงและทางแยก (AEBI) อันนี้ยังไม่ได้ลอง เพราะเราใช้ความระมัดระวังขีดสุดอยู่แล้ว แต่ก็นับว่าดีที่มีเพราะบางทีเพื่อนร่วมทางอาจจะไม่ได้ระวังเหมือนเรา

 

ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ในขณะที่ขับรถต่ำกว่า 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะบันทึกเส้นทางและสามารถถอยหลังกลับได้ในระยะ 50 เมตรโดยอัตโนมัติ และหากเลือกเกียร์ถอย รถจะสามารถถอยหลังกลับได้เองโดยใช้ข้อมูลสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้ ถ้าระบบตรวจพบสิ่งกีดขวาง คนเดินถนน หรือรถยนต์ ระบบเบรกอัตโนมัติจะทำงานและรถจะหยุดในทันที (อันนี้เวลาน้อย ไม่ได้ลอง)

 

นอกจากนี้ก็ยังมีระบบไฮเทคต่าง ๆ ที่อัดแน่นมาแบบเขียนสักสามหน้ากระดาษก็อาจจะไม่จบ ไม่วาจะเป็น ระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติ (ARA) ที่จะช่วยให้เราสามารถถอยหลังกลับได้ในระยะ 50 เมตรโดยอัตโนมัติ ได้เองโดยใช้ข้อมูลสิ่งกีดขวางต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้ ถ้าระบบตรวจพบสิ่งกีดขวาง คนเดินถนน หรือรถยนต์ ระบบเบรกอัตโนมัติจะทำงานและรถจะหยุดในทันที ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ (IIP)

 

 

นอกจากนี้ยังมีความสามารถการกู้คืนพลังงาน (Energy Regeneration) ได้สามระดับ ได้แก่ น้อย, มาตรฐาน และมาก เพื่อการประหยัดพลังงาน ส่วนระบบตรวจสอบพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อให้คะแนนพร้อมให้คำแนะนำในการขับขี่นั้นไม่ได้ใช้เลย เพราะกลัว กลัวคะแนนจะติดลบ เพราะรถขับมันส์เกิน

 

สรุปแบบสั้น ๆ กับ ORA Good Cat GT ต้องบอกก่อนเลยว่า ใครที่ชอบรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อได้มาขับคันนี้จะรู้สึกว่าชอบเข้าไปอีก เพราะมีความเข้าใกล้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปแบบดั้งเดิมมากขึ้น แรงขึ้น และมีลูกเล่นมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกว่าถ้าจะเลือกใช้รถยนต์ยุคใหม่ทั้งที ก็เลือกคันนี้ไปเลย เพราะให้ออปชันมาแล้วครบทุกสิ่ง แม้จะยังไม่เปิดราคาแค่คิดว่า เกรท วอลล์ มอเตอร์ ต้องตั้งราคาแบบคนอยากได้ปฏิเสธไม่ลงแน่ ๆ

 

ORA Good Cat GT มีกำหนดการที่จะเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในเร็วๆ นี้ โดยสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของ ORA Good Cat GT และเกรท วอลล์ มอเตอร์ เพิ่มเติมได้ที่ GWM Application เว็บไซต์ WWW.GWM.CO.TH และ Official Facebook Page: GWM Thailand

 

Scroll to Top