Exclusive : ไปรษณีย์ไทยเล็งลงทุนในธุรกิจ​อีวี​-แผนครึ่งปีหลังเร่งวางระบบไอทีเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร

Spread the love

 

ไปรษณีย์ไทยมีแผนลงทุนในธุรกิจ​อีวี​ เนื่องจากกำลังจะกลายเป็นผู้ใช้รายใหญ่​ พร้อมเดินหน้าลงทุนระบบไอทีหลังบ้านทั้งหมด​เชื่อมโยง​ข้อมูลได้ตั้งแต่ต้นจนจบ​ เพื่อสร้างประสบการณ์​ที่ดีให้กับลูกค้า​รับการแข่งขันที่รุนแรง ด้านการพัฒนาประสิทธิภาพนำจ่าย EMS ทำให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 65 ช่วยลดสิ่งของสูญหาย/เสียหาย/ล่าช้า 46 % มีการเติบโต EMS ในประเทศ เพิ่มขึ้นอีก 15 % มั่นใจการฝากสิ่งของกับไปรษณีย์ไทยมีความครอบคลุมตามสโลแกน “ไปไปรษณีย์..จบทุกการส่ง”

 

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไปรษณีย์ไทยมีแผนลงทุนในธุรกิจ​อีวี​ เนื่องจากขณะนี้ได้มีการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามแนวทางกรีนโลจิสติกส์​ และกำลังจะกลายเป็นผู้ใช้รายใหญ่​ ดังนั้นจึงมีแผนที่จะต้องมีธุรกิจนี้อยู่ด้วย​ โดยอยู่ในระหว่างการคุยกับพันธมิตร​ ซึ่งน่าจะเป็นการร่วมลงทุน โดยขณะนี้มีการใช้รถนำจ่ายที่เป็นพลังงานไฟฟ้าแล้ว​ 250​ คัน และจะขยายเป็น​​ 500​ คันในปีหน้า

 

ส่วน​รถจักรยานยนต์ของบุรุษไปรษณีย์นั้น ขณะนี้มีการใช้งานไฟฟ้าแล้วประมาณ 30 คัน และกำลังจะขยายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่การเพิ่มขึ้นต้องเป็นความพร้อมของผู้ใช้งานด้วย เนื่องจากรถจักรยานยนต์เป็นของส่วนบุคคล ซึ่งปัจจุบันมีบุรุษไปรษณีย์อยู่ประมาณ 20,000 คัน​ ทั้งนี้แผนธุรกิจอีวีดังกล่าวจะรวมถึงการติดตั้งสถานีชาร์จไฟในที่ทำการไปรษณีย์ไทยด้วยเนื่องจากมีการใช้งาน แต่จะเปิดให้บริการกับลูกค้าหรือไม่นั้นอยู่ในการพิจารณาขั้นต่อไป

 

สำหรับแผนธุรกิจในครึ่งปีหลังนั้น จะมีการลงทุนระบบไอทีของระบบหลังบ้านไปรษณีย์ทั้งหมด​ ตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง ทำให้ระบบไอทีเชื่อมโยง​ข้อมูลได้ตั้งแต่ต้นจนจบ​ เพื่อทำให้กระบวนการต่าง ๆ​ ในการให้บริการเร็วขึ้น​ สร้างประสบการณ์​ที่ดีให้กับลูกค้า​ รับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นอย่างในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังได้เตรียมผลิตภัณฑ์ใหม่ในส่วนของผลิตภัณฑ์ดิจิทัล​ให้มากขึ้น​

 

 

ดร.ดนันท์ กล่าวว่า นอกจากนี้ไปรษณีย์ไทยยังมุ่งสร้างความแตกต่างด้านการให้บริการ และพัฒนาคุณภาพของการขนส่งให้ดียิ่งขึ้นเพื่อผู้ใช้บริการ มีการขยายเครือข่ายจุดให้บริการซึ่งปัจจุบันมีกว่า 11,000 จุดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพิ่มจุดให้บริการ EMS Point ทั้งในย่านชุมชนและเขตเมืองเพื่อความสะดวกในการใช้บริการ การนำจ่ายสิ่งของทุกวันโดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล การรักษามาตรฐานความรวดเร็วในการนำจ่าย การลดข้อผิดพลาดในการนำจ่ายให้น้อยลง รวมทั้งมีการจัดทีมแคร์เพื่อรองรับบริการหลังการขาย ดูแลสิ่งของให้ถึงปลายทางโดยไม่เสียหาย

 

“จากการพัฒนาประสิทธิภาพนำจ่าย EMS ดังกล่าว ทำให้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ปริมาณงานสอบสวนลดลง 46 % สิ่งของสูญหาย/เสียหาย/ล่าช้า ลดลง 46 % การเติบโตของปริมาณชิ้นงาน EMS ในประเทศ เพิ่มขึ้นอีก 15 % เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 และทำให้การฝากสิ่งของกับไปรษณีย์ไทยมีความครอบคลุม หรือ “ไปไปรษณีย์..จบทุกการส่ง” ไม่ว่าจะเป็นการส่งจดหมาย ส่งด่วน ส่งของใหญ่ ส่งเย็น ส่งยา ส่งผลไม้ ส่งต้นไม้ ส่งปลากัด ส่งต่างประเทศ และการส่งที่ครบวงจร”

 

บริการ EMS เป็นที่ยอมรับในด้านคุณภาพ ด้านความเร็ว ความสะดวก และครอบคลุม รวมทั้งไม่มีข้อจำกัดในด้านการให้บริการทุกที่ทั่วประเทศ โดยในปี 2565 – 2567 คาดว่าขนาดตลาดขนส่งด่วน จะมีอัตราเติบโตโดยเฉลี่ย 11.23% ต่อปี โดยปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของกลุ่มลูกค้า e-Commerce โดยเฉพาะการขายผ่านทาง Social Media ในรูปแบบ Social Commerce และผ่านทาง e-Marketplace

 

นอกจากนี้ไปรษณีย์ไทยยังมุ่งให้ความสำคัญความต้องการของผู้ใช้บริการที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และพร้อมพัฒนารูปแบบการให้บริการให้สามารถตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการผ่านเทคโพสต์ อาทิ การอัปเกรด Pick up Service เรียกได้ 24 ชม. นำร่องที่เขตหลักสี่ ปากเกร็ด รามอินทรา บริการ iPost รับฝากพัสดุผ่านตู้ไปรษณีย์อัจฉริยะ เปิดให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง การส่งต้นไม้-กล้าพันธุ์ไม้ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ การส่งผลไม้ที่ต้องขนส่งอย่างรวดเร็วป้องกันการเน่าเสีย การส่งยาและเวชภัณฑ์บางประเภท รวมถึงอาหารสดที่ต้องมีการควบคุมอุณหภูมิ ฯลฯ

 

ล่าสุดได้ขยายเวลา “โปรคุ้ม EMS ลดทุกวัน” เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับทุกภาคส่วน ด้วยการมอบส่วนลดค่าส่งด่วน EMS สูงสุดกว่า 50% โดยฝากส่งสิ่งของในวันจันทร์ถึงวันเสาร์ราคาเริ่มต้นเพียง 25 บาท และวันอาทิตย์เริ่มต้นเพียง 19 บาท คิดคำนวณแบบราคาเดียวทุกปลายทางทั่วไทย ไม่บวกเพิ่ม และไม่มีเก็บค่าขนส่งในพื้นที่ห่างไกล พร้อมนำจ่ายทุกวันไม่มีวันหยุด โดยผู้ใช้บริการสามารถรับส่วนลดดังกล่าวได้จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2565 ครอบคลุมทุกที่ทำการฯ ทั่วประเทศ

Scroll to Top