แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู แบรนด์หรูที่หลายคนให้การยอมรับเรื่องช่วงล่างและการบังคับควบคุมที่ดีในเบอร์ต้น ๆ ของกลุ่มรถพรีเมียม ซึ่งเราก็คิดเช่นนั้นเหมือนกับทุกคน แต่สำหรับ BMW 530e M Sport ที่ได้หยิบยืมกันมาทดสอบกันครั้งนี้ มีดีกว่าบีเอ็มดับเบิ้ลยูรุ่นก่อน ๆ ค่อนข้างมาก
BMW 530e M Sport รุ่นสุดท้ายก่อนเปลี่ยนโฉมนี้ นอกจากจะมาพร้อมเครื่องยนต์แบบปลั๊กอินไฮบริดแล้ว ยังมาพร้อมช่วงล่างที่เรารู้สึกว่า นุ่ม นิ่ง แน่น และนั่งสบาย มากกว่าเจนเนอเรชั่นก่อนแล้ว ยังสามารถขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนได้ถึง 52 กิโลเมตร จากแบตเตอรี่ขนาด 12 kWh ซึ่งสามารถใช้ความเร็วได้สูงสุดถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในโหมดขับด้วยแบตเตอรี่นี้
ในความเป็นจริงแล้วตัวเลขแค่นี้ บีเอ็มดับเบิ้ลยูน่าจะเน้นใช้เพื่อช่วยให้ความประหยัดในการขับขี่ และเพิ่มสมรรถนะให้กับรถมากกว่าเน้นแบบอีวีอย่างจริงจัง เพราะในรุ่นนี้ได้มีระบบ XtraBoost ที่มอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยเสริมกำลังเครื่องยนต์สันดาปให้แรงยิ่งขึ้น แม้จะมาเพียง 10 วินาทีแต่ก็ทำให้เราทันในเวลาที่ต้องการ
โดยสามารถเพิ่มสมรรถนะให้สูงขึ้นไปอีก 30 kW (41 แรงม้า) ระบบขับเคลื่อนจะตอบสนองต่อความไวในการเหยียบคันเร่งเพิ่มมากขึ้น จนไปจบความเร็วสูงสุดที่ 235 กม./ชม.
เครื่องยนต์ของ BMW 530e M Sport คันนี้เป็นแบบ Plug-in Hybrid หรือ PHEV มาพร้อมเบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ขนาด 2.0 ลิตร ผลิตกำลังได้ 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 109 แรงม้า แรงบิด 265 นิวตันเมตร
เมื่อทำงานรวมกันแล้วได้กำลังสูงสุดที่ 292 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Sport Steptronic พร้อม Gearshift Paddles เคลมอัตราเร่ง 0-100 ไว้ที่ 5.9 วินาที ซึ่งในการทดสอบวิ่งกันจริง ๆ แล้วตัวเลขไม่ต่างจากที่บีเอ็มเคลมไว้มากนัก เพราะทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานประสานกันเป็นอย่างดี
ด้านเกียร์ของ BMW 530e M Sport นั้นจะเป็นเกียร์อัตโนมัติเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ แบบ Sport Steptronic ที่ผู้ใช้จะสามารถเล่นเกียร์ + และ – เพื่อการลากรอบได้ตามต้องการ ช่วยให้การขับรถมากขึ้น แต่การทดลองขับรอบนี้ไม่ได้ใช้ เพราะอยากรู้การเปลี่ยนเกียร์เองของรถมากกว่า ซึ่งก็พบว่าราบรื่นและสอดประสานกับเครื่องยนต์ได้ดีมาก
ส่วนของโหมดการขับขี่ก็จะมี 4 โหมดคือ Hybrid, Electric, Sport และ Adaptive การทำงานแตกต่างกันไปตามโหมดที่เลือก แต่สำหรับเราแล้ว ขอเลือกโหมดสบาย ๆ แบบ Hybrid ที่รถที่จัดสรรทุกสิ่งให้เราเอง ไหน ๆ ก็ได้ลองรถปลั๊กอินไฮบริดทั้งทีก็ลองให้รู้บุคลิกกันหน่อย
ช่วงล่างแบบ Adaptive ที่สามารถปรับได้จะปรับลักษณะให้เหมาะกับสถานการณ์การขับขี่มากที่สุดเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและสมรรถนะในการขับขี่ นอกเหนือจากการตั้งค่ามาตรฐานอย่าง COMFORT เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่แล้ว ยังสามารถเลือกโปรแกรม SPORT เพื่อตั้งค่าช่วงให้แข็งขึ้นแต่คล่องตัวกว่าได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้อแบบแอ็คทีฟ ที่พวงมาลัยของรถมาพร้อมกับระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering) ซึ่งในช่วงความเร็วต่ำล้อหลังจะเลี้ยวสวนทางกับล้อหน้าเพื่อให้วงเลี้ยวของรถแคบลง แต่เมื่อความเร็วสูงขึ้นชุดล้อหลังจะเลี้ยวไปทางเดียวกับล้อหน้าเพื่อให้การตอบสนองของรถคมมากขึ้น
“ด้วยการเซ็ตช่วงล่างมาทั้งหมด ต้องบอกเลยว่าประทับใจกับช่วงล่างของ 530e M Sport มาก ๆ ลงตัวทุกอย่าง นุ่มแบบแน่น ไม่ได้แข็งกระด้าง ซับแรงกระแทกได้ดีทั้งบนถนนขรุขระ ไม่กระเด้งกระดอน และไม่ว่าจะใช้ความเร็วสูงแค่ไหนก็มีความมั่นใจได้มาก หนึบกระชับ การเปลี่ยนเลนแบบกระทันทันทำได้มั่นใจไม่มีเหวอ เรียกได้ว่าเป็นช่วงล่างที่ดีกว่าคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกันเลยทีเดียว”
เช่นเดียวกับเบรคที่ให้ความมั่นใจได้ในทุกช่วงความเร็ว พวงมาลัยช่วยให้การควบคุมที่ดี น้ำหนักพอดี ให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงแม้รถจะคันใหญ่พอตัว ทำให้การขับทางไกลไปแบบสบาย ๆ เมื่อรวมกับพลังเครื่องยนต์ที่มีให้ใช้กันแบบเหลือ ๆ แล้ว การเดินทางไกลแบบข้ามหลายจังหวัดดูเป็นเรื่องง่าย สบาย และไม่เหนื่อยไม่ล้าเลยทีเดียว
อัตราการบริโภคน้ำมันแม้จะไม่ได้ทดสอบ แต่ก็ทำได้ดีกว่าตัวเบนซินที่ไม่ได้มีไฟฟ้าเข้ามาช่วย ซึ่งสิ่งที่ประทับใจมากกว่าความประหยัดคือพละกำลังที่ได้ ความราบรื่นในการขับขี่ ตลอดจนการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ทุกอย่างลงตัวไปหมด
ดีไซน์ของ BMW 530e M Sport ยังคงเอกลักษณ์ที่มองยังไงก็รู้ว่าเป็นบีเอ็ม ไม่ได้ฉีกแนวจนออกทะเลไปเหมือนเอสยูวีไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ของค่าย และแน่นอนว่าด้วยความเป็นโฉมสุดท้ายของเจนนี้การตกแต่งภายในก็ยังมาในเอกลักษณ์เดิม แต่เพิ่มเติมความทันสมัยให้มากขึ้น เพิ่มขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นเป็น 12.3 นิ้ว พร้อมระบบปฏิบัติการ BMW OS 7.0
แถมยังมีกล้องรอบคันแบบ 360 องศา ที่มีความละเอียดของกล้องที่คมชัดมาก ภาพถอยหลังชัดเหมือนหันไปมองเองเลยทีเดียว แถมเมื่อเชื่อมต่อกับแผนที่แล้ว เราแทบจะเหมือนนกที่เห็นวิวด้านบนได้แบบชัดเจนเลยทีเดียว ส่วนเรือนไมล์ดิจิตอลด้านหลังพวงมาลัยก็อยู่ภายในหน้าจอ 12.3 นิ้ว เช่นกัน โดยเราสามารถปรับเปลี่ยนโทนสีและข้อมูลของหน้าจอได้ตามแต่ล่ะโหมดการขับขี่ มีลูกเล่นมากมายให้เปรียบเปลี่ยนการดูค่าต่าง ๆ ได้ตามต้องการ
ในรุ่น M Sport นี้เราจะเครื่องเสียงแบบ Harman Kardon และลำโพง 16 ตัว ให้พลังเสียงได้ครบทุกทิศทาง พร้อมกับระบบ Wireless charger , Gesture Control และแผงอลูมิเนียมตกแต่งภายในลาย Rhombicle Smoke Grey หลังคอนโซลด้านพวงมาลัยจะมีช่อง Head-up Display ที่จะแสดงข้อมูลของรถขึ้นบนกระจกรถตามที่เราได้ตั้งค่าไว้
ชุดพวงมาลัย M Sport ขนาดกำลังดี แถมปรับด้วยไฟฟ้าได้หลายสเตป มาพร้อมกับแป้น Paddle shift ที่หลังพวงมาลัย ฝั่งซ้ายมือบนพวงมาลัยเป็นที่อยู่ของปุ่มควบคุม Adaptive Cruise Control แบบ Stop&Go ซึ่งสามารถเลือกความเร็วและระยะห่างจากรถคันหน้าได้โดยตัวรถจะเบรกและเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเองเมื่อทางโล่ง ระบบทำงานควบคู่กับ Radar ที่อยู่ใต้ป้ายทะเบียนหน้า สามารถใช้งานได้ตั้งแต่หยุดนิ่งจนความเร็วสูง
สีที่เราทดสอบอยู่นี้เป็นสี Phytonic Blue ภายในจึงเป็นเบาะที่หุ้มด้วยหนัง Dakota สีดำเดินด้ายสีน้ำเงิน เบาะนั่งตอนหน้าเป็นแบบ Sport ตัวเบาะจะสามารถปรับไฟฟ้าได้หลายระดับ สร้างความสบายได้หลากหลายรูปแบบตามขนาดร่างกาย รองรับร่างกายได้แบบครบ ๆ แถมยังมีมีหลังคา Sunroof ที่สามารถเปิดรับอากาศบริสุทธิ์ริมทะเลหรือบนดอยได้แบบสบายใจ
คอนโซลกลางด้านหน้าเกียร์สามารถเปิดเพื่อเป็นทางวางแก้วน้ำ มีช่องสำหรับจ่ายไฟ 12 โวลต์ และยูเอสบีเอ 1 ช่อง พร้อมที่ชาร์จกุญแจ (ซึ่งที่แรกคิดว่าเป็นที่ชาร์จไร้สายของมือถือ แต่วางยังไงก็วางไม่ได้สักที) ส่วนกล่องที่วางแขนตรงกลางสามารถเปิดใส่ของได้พอสมควร แถมยังมีช่องให้เสียงชาร์จยูเอสบีซีอีก นั่งกันครบก็ไม่ต้องแย่งกันชาร์จแล้วทีนี้
เบาะนั่งด้านหลังก็ให้ความสบายได้มากเช่นกัน รองรับทุกส่วนของร่างกายได้ดี มุมเอนกำลังสบาย และที่สำคัญคือมีที่วางแขนซึ่งสามารถวางแก้วน้ำได้อีก นอกจากนี้ในส่วนของพื้นที่ด้านหลัง ยังสามารถปรับแอร์ได้ตามที่เราต้องการเพราะเป็นระบบปรับอากาศแยกอิสระ 4 โซน นอกจากนี้ยังมีช่องแอร์ที่ซ่อนอยู่ในเสา B ม่านที่ประตูหลังกับกระจกหลังของรถ และที่สำคัญยังมีม่านบังแดดเสริมขึ้นมา ช่วยให้คนโดยสารไม่ร้อนไปตามสภาพอากาศภายนอก มีช่องเสียบยูเอสบีซีให้ 2 ช่อง
ด้านความปลอดภัยที่เพิ่มมากจากมาตรฐานเดิมก็อย่างเช่น ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องจราจร, ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตา, ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ตรวจจับรถ และคนเดินถนนที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ขณะถอยจอด, ระบบเตือนป้ายจราจร เป็นต้น
สี Phytonic Blue ของ BMW 530e M Sport คันนี้เป็นสีน้ำเงินที่สวยมาก สวยสุด ๆ เด่นสะดุดตามาก เมื่อมาพร้อมกับ ล้อ M Sport ขอบ 19 นิ้ว ลาย Y Spoke รหัส 845M แบบสลับสีรัดด้วยยาง 245/40 R19 ในล้อหน้า และ 275/35 R19 ในล้อหลัง พร้อมด้วยชุดเบรก M Sport คาลิเปอร์สีน้ำเงิน ยิ่งทำให้คนที่ชอบสีน้ำเงินอยู่แล้ว ปลื้มเข้าไปอีก
สบายเข้าไปอีกเพราะบานประตูทั้ง 4 บานของ BMW 530e M Sport มาพร้อมกับระบบ Comfort Access ที่เราสามารถพกกุญแจไว้กับตัวแล้วเอามือมาเปิดหรือล็อครถจากประตูไหนของรถก็ได้ และที่สำคัญ ประตูทั้ง 4 บานยังมีระบบประตูดูด Soft Close อีกด้วย ดีงามเหมาะกับคนที่ชอบปิดประตูไม่สนิท
และที่เหมาะสำหรับโลกยุคนี้คือ นอกเหนือไปจากกล้องรอบคันแบบ 360 องศา แล้ว BMW ยังได้เปิดให้บริการ BMW Drive Recorder ที่จะใช้ตัวกล้องของรถมาบันทึกเหตุการณ์อุบัติเหตุฉุกเฉิน ซึ่งลูกค้าต้องจ่ายเพิ่มเป็นแบบรายเดือน
สรุปการทดลองขับ BMW 530e M Sport พบว่าเป็นรถที่ให้ความประทับใจได้มาก แม้ดีไซน์ภาพรวมทั้งภายนอกภายในจะไม่ได้ฉีกแนวไปจากรุ่นก่อน ๆ แต่ก็ปรับให้ทุกอย่างทั้งไฟหน้า ไฟท้าย และรายละเอียดปลีกย่อยให้ทันสมัยมากขึ้น โดดเด่นและสดุดตาจนรู้สึกได้ ออปชันก็จัดกันมาแบบครบ จัดหนัก จัดเต็มกว่ารุ่นก่อน ๆ แบบรู้สึกได้ ค่อยสมศักดิ์ศรีพรีเมียมยุโรปหน่อย
เช่นเดียวกับภายในที่ได้เพิ่มสีสันภายในห้องโดยสารให้น่าสนใจมากขึ้น ด้วยไฟ Ambient light และที่สำคัญคือการใส่ทั้ง Apple Carplay และ Andriod Auto แบบไร้สายมาให้เชื่อมต่อกันได้แบบไม่ต้องลุ้น
การขับขี่ก็ยังคงตามแบบฉบับบีเอ็มดับเบิลยู นั่นคือขับสนุก ช่วงล่างหนึบแน่น มั่นใจได้ทุกย่านความเร็ว และที่สำคัญสำหรับรุ่นนี้คือ ช่วงล่างดีมาก ๆ ไม่แข็งกระด้างทำให้การเดินทางไกลแบบข้ามหลายจังหวัดไม่เมื่อยล้าเลย ประกอบกับเบาะนั่งที่ออกแบบมาดี โอบกระชับและรองรับได้ทุกส่วนของร่างกาย แถมเครื่องปรับอากาศก็ควบคุมได้แบบ 4 โซน และเครื่องเสียงชั้นดีอีกด้วย
BMW 530e M Sport คันนี้เหมาะที่จะเป็นรถครอบครัวที่ขับได้ทั้งการใช้งานในเมือง และการเดินทางไกลไปต่างจังหวัดได้แบบสบาย ๆ โดยมีราคารวมแพคเกจ BSI Standard อยู่ที่ 3,829,000 แม้จะเป็นรุ่นสุดท้ายของรุ่น G30 ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นโฉมใหม่ G60 แต่ก็ต้องบอกว่าใครที่ชอบมนต์เสน่ห์ของบีเอ็มดับเบิ้ลยูที่คลาสสิก แต่ไฮเทคไม่แพ้รุ่นใหม่ที่กำลังจะออกมา รุ่นนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด
และท้ายที่สุดก็ขอขอบคุณ บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ที่ให้รถมาทดสอบกัน ณ ที่นี้