Tokyo Motor Show กลับมาจัดอีกครั้งในชื่อ Japan Mobility Show 2023 หลังจากหยุดไป 2 ปีเนื่องจากสถานการณ์โควิด โดยการจัดงานในครั้งนี้ จะเป็นครั้งแรกที่ไม่ได้มีเพียงแต่ในอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบริษัทและสตาร์ทอัพจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ หลายแห่งที่มีกิจกรรมที่นอกเหนือไปจากการเดินทาง
Japan Mobility Show 2023 ในครั้งนี้จะมีบริษัททั้งหมด 475 แห่งเข้าร่วม มากกว่า Tokyo Motor Show ในครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมีเพียงบริษัท 192 แห่งที่เข้าร่วมงาน ดังนั้นงานในครั้งนี้จึงได้ทำการขยายพื้นที่ไปยัง Tokyo Waterfront City ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่จัดงานหลัก รองรับนิทรรศการ โปรแกรมอื่น ๆ และสามารถรองรับผู้เข้าชมที่คาดว่าจะถึง 1 ล้านคน
Akio Toyoda ประธาน Japan Automobile Manufacturing Association, Inc. เปิดเผยว่า Japan Mobility Show 2023 จัดขึ้นที่ Tokyo Big Sight ในเขต Ariake ของ Koto-ku โตเกียว ตั้งแต่วันพฤหัสที่ 26 ตุลาคมถึงวันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2023
โดยผู้ร่วมงานในครั้งนี้นอกจากจะมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ อย่าง รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ รถจักรยานยนต์ ตัวถังรถยนต์ ชิ้นส่วนและเครื่องจักร แล้วยังมีในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนยุคถัดไปและอุตสาหกรรมอื่น ๆ
โดยนอกจากการเพิ่มขึ้นของบริษัทต่างๆ แล้ว ในครั้งนี้ BYD ยังถือเป็นค่ายรถยนต์แบรนด์แรกและหนึ่งเดียวของจีน ที่ได้เข้าร่วมงานดังกล่าว ซึ่งเท่าที่ Techmoveon สังเกตแล้วนั้นพบว่าแบรนด์ที่นอกเหนือไปจากแบรนด์ในประเทศของญี่ปุ่นเองนั้น ก็จะมีแต่เมอร์เซเดสเบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยูเท่านั้น
ในงาน “JAPAN MOBILITY SHOW 2023” ครั้งนี้ กลุ่มบริษัท BYD จะจัดแสดงตามแนวคิด “Essential Vehicle” โดยนิทรรศการจะจัดขึ้นที่บูธ 6 แห่งภายใต้ธีม “เทคโนโลยี” “สีเขียว” และ “อนาคต” ประเทศญี่ปุ่น โดย BYD ได้นำเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม 3.0 การใช้พลังงานสะอาด การใช้ชีวิตแบบ e life มานำเสนอ
สำหรับรถยนต์ที่นำมาจัดแสดงประกอบไปด้วย รถยนต์ที่เปิดตัวไปแล้วในญี่ปุ่นคือ BYD ATTO 3 และ BYD DOLPHIN รวมไปถึงเอสยูวีออฟโรด “U8” จากแบรนด์พรีเมียม “Yanwan” และ มินิแวน “D9” จากแบรนด์ย่อยระดับไฮเอนด์ “DENZA”
ไฮไลต์ของงานนี้นอกจากจะมีการสาธิตการหมุนรถถังของ U8 แล้ว ยังจะมีการเปิดตัวรถยนต์ซีดาน EV “BYD SEAL” ที่นับเป็นรุ่นที่สามที่จะเปิดตัวในญี่ปุ่น มาพร้อมสีใหม่ที่แตกต่างจากเมืองไทย นั่นคือสีเขียว
หวัง ชวนฟู่ ประธานกลุ่มบีวายดี กล่าวว่า BYD มีสำนักงานใหญ่ในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน ดำเนินกิจการไม่เพียงแต่ในจีน แต่ยังดำเนินการทั่วโลก รวมถึงเอเชียแปซิฟิก ยุโรป และอเมริกากลางและอเมริกาใต้ บริษัทกำลังขยายธุรกิจรถยนต์นั่งไปทั่วโลก เราได้สนับสนุนยานพาหนะไฟฟ้ากว่า 400 เมือง ในกว่า 70 ประเทศ
โดยจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2565 และ 2566 นั้น BYD เป็นอันดับ 1 ของโลก ส่วนในจีนมียอดขาย NEV เป็นที่หนึ่งเป็นเวลาเก้าปีติดต่อกัน ดังนั้นงานมอเตอร์โชว์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น จึงเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ผู้คนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เราได้ตัดสินใจจัดแสดงในงาน MOBILITY SHOW 2023 ครั้งนี้
“BYD มุ่งมั่นที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยลดการใช้งานวัสดุที่มีส่วนสูงในการผลิตรถยนต์และใช้พลังงานที่มาจากแหล่งที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยลง สอดรับกับยุคที่ความสนใจในการลดปริมาณของก๊าซเรือนกระจก และการใช้งานพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น”
ย้อนกลับไปถึงความเป็นมาของ BYD ในประเทศญี่ปุ่น เริ่มต้นขึ้นด้วยการเปิดโชว์รูมแห่งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พร้อมตั้งเป้าขยายสาขาให้มีมากกว่า 100 แห่ง ภายในสิ้นปี 2025 โดยล่าสุดข้อมูล ณ วันที่ 21 สิงหาคม BYD มีโชว์รูมเปิดทำการในญี่ปุ่นแล้ว 10 สาขา
Atsuki Tofukuji (อัตสึกิ โทฟุคุจิ) ประธานบริษัท BYD Auto Japan Co., Ltd. กล่าวว่า BYD มีสโลแกนในญี่ปุ่นว่า “ให้รถยนต์ไฟฟ้า BYD เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น” ซึ่ง BYD Auto มีสำนักงานใหญ่ อยู่ที่เมืองโยโกฮาม่า จังหวัดคานากาว่า โดยเปิดตัวรถยนต์รุ่นแรกในเดือนมกราคมด้วย Atto 3 ซึ่งมาพร้อมกับราคาเริ่มต้น 4,400,000 เยน (ประมาณ 1,066,000 บาท)
ส่วน “BYD Dolphin” เปิดตัวในตลาดญี่ปุ่นในวันที่ 20 กันยายน 2023 ที่ผ่านมา เป็นข่าวที่ตื่นเต้นสำหรับผู้รักยานยนต์ไฟฟ้าและผู้ที่ต้องการรถยนต์ระบบเคลื่อนที่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มาพร้อมดีไซน์ที่สวยงามและสมวัย มีความสะดวกสบายในการขับขี่ รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ทันสมัย ทำให้สามารถก้าวเข้าสู่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่นอย่างมั่นคงและได้รับการยอมรับ
BYD Dolphin มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุสูงที่สามารถใช้งานได้นาน โดยมีระยะทางขับรถได้ไกล และระบบชาร์จแบตเตอรี่ที่รวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องรอนาน มียอดขายประมาณ 430,000 คันทั่วโลกนับตั้งแต่เริ่มจำหน่ายในประเทศจีนในเดือนสิงหาคม 2564
สำหรับราคาจำหน่ายของ BYD Dolphin เวอร์ชั่นญี่ปุ่น รุ่น Standard เริ่มต้นที่ 3,630,000 เยน (ประมาณ 879,000 บาท) ส่วนรุ่น Long Range เริ่มต้นที่ 4,070,000 เยน (ประมาณ 986,000 บาท)
Atsuki Tofukuji กล่าวว่า BYD Auto Japan ตั้งเป้าที่จะมอบทางเลือก EV ที่หลากหลายจากแบรนด์ BYD แก่ผู้คนมากขึ้น ล่าสุดจึงได้ทำการเปิดตัว BYD SEAL ได้รับแรงบันดาลใจจากท้องทะเล เช่นเดียวกับ BYD DOLPHIN ในงาน Japan Mobility Show 2023
BYD SEAL โดดเด่นด้วยดีไซน์สปอร์ตและหรูหรา เป็นรถเก๋ง EV ที่ใช้เบลดแบตเตอรี่ด้วยการติดตั้งโดยตรงบนตัวรถและทำหน้าที่เป็นโครงสร้างจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพ รวบรวมเทคโนโลยีล้ำสมัยของ BYD ไว้ด้วยกัน รวมถึงเทคโนโลยี CTB (Cell to Body) ที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพของ EV
นอกจากนี้ BYD ยังได้นำ SUV ออฟโรด “U8” แบรนด์ระดับพรีเมียม “Yanwan” มาจัดแสดง นี่คือรุ่นใหม่ล่าสุด “แพลตฟอร์ม e4” ที่สามารถขับเคลื่อน 4 มอเตอร์อิสระสามารถหมุนถังได้ 360 องศา ณ จุด ที่จอดอยู่ได้ มีกำลังสูงสุดมากกว่า 1,100 แรงม้า และสามารถเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ ใน 3.6 วินาที
เช่นเดียวกับ มินิแวน “D9” จากซีรีส์ “DENZA” แบรนด์ย่อยระดับไฮเอนด์ที่พัฒนาโดยบริษัทร่วมทุน BYD และ Mercedes-Benz โดย D9 เป็นรถมินิแวนที่มีความยาวรวม 5,250 มม. กว้าง 1,960 มม. และสูง 1,920 มม. มีระบบส่งกำลังให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ PHEV และ BEV นอกจากนี้ยังมี “ระบบควบคุมตัวถังอัจฉริยะ DiSus” ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ BYD อีกด้วย
BYD เป็นแบรนด์จีนแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่บุกตลาดญี่ปุ่นแบบจริงจัง แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากแบรนด์ท้องถิ่นเองมีความแข็งแกร่งอย่างมาก ประกอบกับความเป็น “ชาตินิยม” และ “อนุรักษ์” นิยม ก็คงต้องมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่ค่อนข้างแข็งแกร่งสักหน่อย
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังมีตัวเลือกอยู่เพียงไม่กี่แบรนด์ ซึ่งการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของ BYD นั้น แต่ละรุ่นจะเข้าไปเป็นเซ็กเมนต์ใหม่เพื่อเสริมตลาดที่มีอยู่ และการเข้าไปทำตลาดของแบรนด์จีนอย่าง BYD ครั้งนี้ น่าจะเป็นแรงกระเพื่อมสำคัญให้ตลาดญี่ปุ่นต้องเร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไปทุกวัน และผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ค่อยยึดติดกับแบรนด์อีกต่อไป