การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของฮอนด้าในระยะหลังนั้น ในรุ่นที่มีความเป็นไปได้ในการทำตลาดก็จะเปิดตัวในเมืองไทยตามในเวลาไม่ห่างกันมากนัก เช่นเดียวกับ ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี ใหม่ ที่นอกจากจะเปิดตัวอย่างรวดเร็วแล้ว ยังถือเป็นการเปิดเซ็กเมนต์ใหม่ในตลาดรถยนต์เมืองไทยอีกด้วย
ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี นับเป็นเอสยูวีคันเล็กที่สุดในตลาดเมืองไทยและยังไม่มีคู่แข่ง (หากไม่ใช้เรื่องราคามาวัดกัน) แต่ถ้าเป็นในต่างประเทศรถยนต์รุ่นนี้ก็มีคู่แข่งหลายยี่ห้อ ซึ่งบางยี่ห้อเปิดตัวมาก่อนเสียอีก และก็น่าเสียดายที่ไม่นำเข้ามาขายในเมืองไทย ไม่งั้นตลาดรถขนาดตัวกระทัดรัดยกสูงแบบนี้ น่าจะสนุกขึ้น
ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี มีความยาว 4,060 มิลลิเมตร (หรือประมาณ 4 เมตร) ความกว้าง : 1,780 มิลลิเมตร (1.78 เมตร) ความสูง : 1,608 มิลลิเมตร (1.6 เมตร) และความยาวฐานล้อ : 2,485 มิลลิเมตร (ประมาณ 2.48 เมตร)
ถ้าเทียบกับรุ่นพี่อย่างฮอนด้าเอชอาร์-วี ก็จะสั้นกว่า ประมาณ 32.5 เซ็นติเมตร แคบกว่า 1 เซ็นติเมตร สูงกว่า 1.8 เซ็นติเมตร และระยะฐานล้อสั้นกว่า 12.5 เซ็นติเมตร ต้องแปลงเป็นหน่วยเซ็นติเมตรเพื่อให้สามารถเทียบกันได้ง่ายขึ้น
ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วีใหม่นี้ ถูกวางตำแหน่งให้เป็นเอสยูวีอเนกประสงค์ 5 ที่นั่ง แม้เนื้อตัวภายนอกจะดูกระทัดรัด แต่ภายในกลับกว้างขวางนั่งสบายและนั่งได้ 5 คนจริง ๆ ซึ่งแม้จะดูคันไม่ใหญ่อย่าได้ประมาทการจัดวางพื้นที่ภายในห้องโดยสารของฮอนด้า เพราะเจ้านี้เขาเก่งเรื่องนี้
ความสูงจากพื้นถนนถึงตัวรถ 220 มิลลิเมตร หรือเท่ากับ 22 เซ็นติเมตร หรือประมาณ 8.66 นิ้ว (แปลงให้หลาย ๆ หน่วยจะได้เข้าใจง่าย) เหมาะสำหรับการขับในกรุงเทพช่วงฤดูฝน ที่ต้องฝ่าน้ำรอระบายทุกครั้งที่ฝนตก หรือแม้แต่ถนนลูกรังตามต่างจังหวัดที่กำลังจะพัฒนาและเตรียมลาดยางกันอยู่ ก็จะขับลุยไปได้แบบสบาย ๆ
เครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC i-VTEC ผสานเกียร์อัตโนมัติ CVT ให้กำลังสูงสุด 121 แรงม้า ตัวเลขจากโรงงานให้อัตราประหยัดน้ำมันที่ 16.7 กม./ลิตร รองรับพลังงานทางเลือก E20 ซึ่งในตัวเครื่องยนต์นี้ก็เรียกได้ว่าสมตัวรถให้อัตราเร่งไม่อืด แต่ก็ไม่ได้จี๊ดจ๊าด พละกำลังพอดี ๆ ปรับแต่งมาให้เรี่ยวแรงดีกว่าเครื่องยนต์ 1,500 ซีซีของค่ายอื่นและเครื่อง 1,500 ซีซีของตนเองในอดีต
การออกตัวไม่อืดอาด สามารถเร่งหนีพวกอีโคคาร์ “ไร้เทอร์โบ” กันแบบสบาย ๆ การเร่งแซงมั่นใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ยังคงต้องกะระยะให้ดี แม้รถจะมีพละกำลังดีแต่ก็มีหลายองค์ประกอบที่ทำให้เราต้องตัดสินใจ เอาเป็นว่าแซงเมื่อคิดว่าปลอดภัยก็แล้วกัน เพราะแม้เครื่องจะแรงกว่านี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรถ้าเรากะระยะไม่ดีพอ
ข้อดีของเครื่องยนต์ล้วนแบบนี้คือการสร้างความมั่นใจในการดูแล เพราะการไม่มีแบตเตอรี่หรือเทอร์โบเข้ามาเกี่ยวข้อง จะช่วยลดความซับซ้อนเรื่องการบำรุงรักษาหรือซ่อมแซมไปได้เลย เหมาะกับคนที่ยังไม่พร้อมจะยอมรับไฮบริดหรือรถไฟฟ้าล้วน แต่ก็อยากเปลี่ยนรถเป็นคันใหม่ที่สดใสกว่าเดิม
สิ่งที่ทำให้เราแปลกใจคือการเช็ตช่วงล่าง ที่ต้องบอกเลยว่ากลายเป็นช่วงล่างที่ทำให้เราต้องมองฮอนด้าใหม่ เพราะแม้ฮอนด้าซิตี้จะมีเครื่องยนต์ที่จี๊ดจ๊าดกว่า แต่ถ้าเทียบช่วงล่างกันแล้ว ดับเบิลยูอาร์-วี นับได้ว่าช่วงล่างดีที่สุดในบรรดารถเล็กที่ฮอนด้ามีจำหน่ายทั้งหมดเลยทีเดียว แถมยังคล่องแคล่วและคล่องตัวกว่ารุ่นพี่รุ่นอื่นที่มีพลังมากกว่า
ทริปนี้เราไปลองกันที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเรียกได้ว่ามีถนนหนทางที่หลากหลาย ทั้งทางตรงยาว ทางโค้ง ทางขึ้นเขา บอกได้เลยว่าสามารถเรียนรู้อาการของรถได้ครบจบในทริปเดียว
ช่วงล่างเซ็ตมาได้ดีให้ความมั่นใจและมั่นคงได้ในทุกย่านความเร็ว การเปลี่ยนเลนกระทันหันไม่ทำให้รู้สึกเหวอหรือน่ากลัว การขับขี่ทางตรงมั่นคงดี การเข้าโค้งให้ความมั่นใจได้มาก และแม้ในบางช่วงจะมีการทำถนนต้องคืนคลานไปในทางขรุขระ ก็ซับแรงสะเทือนได้ดี ไม่มีให้ต้องรำคาญใจ เช่นเดียวกับเบรคที่ทำหน้าที่ได้ดี พร้อมจะหยุดให้ตามแรงกดของเท้า
และแม้ตัวรถจะมีความสูงจากพื้นเท่ากับรถกระบะหรือรถยกสูงหลาย ๆ รุ่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกหวิวหรือโคลงในการเดินทางเลย เราสามารถขับลัดเลาะไปในสภาพการจราจรที่ติดขัด หรือจะขับมุดไปมาในจราจรที่ค่อนข้างคล่องตัว ก็ทำได้แบบชิว ๆ ไม่ต้องกลัวว่าตัวรถจะเสียอาการ นี่น่าจะเป็นข้อดีของรถยกสูงท้ายสั้น ที่พริ้วกว่ารถท้ายยาว ๆ
จุดมุ่งหมายในในทริปนี้เราก็ขึ้นไปลองกันถึงบ้านอีต่อง เหมืองปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ ซึ่งกว่าจะถึงตัวหมู่บ้านก็มีโค้งให้เราได้ขึ้นถึง 399 โค้ง งานนี้ตั้งใจไว้ว่าจะไปชมหมอกกันให้สะใจ เพราะหมู่บ้านนี้จะมีอากาศที่เย็นสบายทั้งปี และมีหมอกมาให้ชมกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะเวลาหลังฝนตก
การเซ็ตพวงมาลัยที่ให้น้ำหนักกำลังดี เมื่อบวกกับช่วงล่างที่ลงตัวแล้ว ช่วยให้การลัดเลาะไปตามป่าเขาทำได้สนุกมาก เราสามารถที่จะเล่นโค้งกว้าง โค้งแคบ หรือโค้งไปโค้งมาได้แบบมั่นใจ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวรถเบาหวิวจนน่ากังวล เช่นเดียวกับการขึ้นโค้งทางชัน พลังของรถก็สามารถพาให้เราขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่อง แรงดีไม่มีตก
และไฮไลต์ของทริปนี้คือ ระหว่างทางขึ้นนั้นถนนบางช่วงกำลังทำอยู่ เนื่องจากถนนพังเพราะฝนตก ทำให้ค่อนข้างจะขรุขระประกอบกับมีน้ำขังบ้าง เราจึงได้เห็นข้อดีของความสูงของ ดับเบิลยูอาร์-วี กันแบบเต็ม ๆ เราสามารถลุยไปได้ แต่ถ้ารถเล็กหรือรถเตี้ยกว่านี้จะลำบากหน่อย และแม้จะมีโคลนทำให้รถเสียอาการ แต่ระบบช่วยเหลือก็เข้ามาทำให้เราผ่านมาได้แบบสบาย ๆ
เมื่อเราขึ้นไปถึงก็พบว่ามีซูเปอร์คาร์อย่างเฟอร์รารี่ตามขึ้นมาด้วย ก็สงสัยเหมือนกันว่าเขาขึ้นมาได้ยังไง อาจจะไม่รู้เหมือนเราแล้วหลงขึ้นมา ซึ่งก็ต้องมาให้สุด เพราะหมู่บ้านนี้มีทางขึ้นลงแค่ทางเดียว (ไม่นับเฮลิคอปเตอร์และทางที่ขึ้นมาจากฝั่งพม่านะ ซึ่งฝั่งนั้นข้ามมาไม่ได้แน่นอน)
การมาอีต่องครั้งนี้แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรก และเราก็นำรถมากมายหลายรุ่นเข้ามา ต้องบอกเลยว่า ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี เป็นคันหนึ่งที่ขับแล้วให้ความรู้สึกที่ดีมากคันนึง ลงตัวกับโค้งและถนน ในมุมคนขับจะมีความสุขกับการลัดเลาะมาก แต่ในมุมคนนั่งนั้นไม่แน่ใจ เพราะไม่มีผู้โดยสารขึ้นมาด้วย
ฮอนด้าเคลมไว้ว่าอัตราการประหยัดน้ำมัน 16.7 กม./ลิตร ซึ่งในการขับจริงแบบเหยียบบ้าง ผ่อนบ้าง เร่งแซงบ้าง ก็จะได้ประมาณ 14-15 ไม่หนีไปไหน ดังนั้นแม้จะเป็นเอสยูวีที่ไม่มีเทอร์โบหรือแบตเตอรี่มาช่วย ก็เรียกว่าประหยัดพอตัว
กล่าวถึงการขับขี่ไปแล้ว คราวนี้ก็มาดูสิ่งที่ใส่เข้าไปข้างในกันบ้าง ก่อนอื่นต้องลุกขึ้นปรบมือให้กับการบรรจุเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะอย่าง Honda SENSING มาให้ในทุกรุ่นย่อย ดังนั้นตัวเริ่มต้นก็จะมีความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือไปจากความปลอดภัยพื้นฐานที่รถทุกคันต้องมี
อาทิ ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning: RDM with LDW)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมปรับความเร็วตามคันหน้า Adaptive Cruise Control ACC ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ LCDN ซึ่งอันนี้เหมาะมากในเมืองที่การจราจรเคลื่อนตัวไม่สม่ำเสมอ และบางทีเราก็เผลอเล่นโซเชียลจนลืมเหยียบคันเร่ง รวมถึงระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High-Beam ที่จะให้ความรู้สึกดีเวลาขับยามค่ำคืน เพราะแสงไฟจะปรับอัตโนมัติ ไม่ไปแยงตาคันที่ขับสวนมา
เรียกได้ว่าให้ระบบความปลอดภัยมาให้แบบครบ ๆ เสียอย่างเดียวไม่ให้กล้องมองรอบคันมาสักที ยังคงเป็นระบบแสดงภาพมุมอับสายตา Honda Lanewatch ที่จะมองเห็นมุมอับได้ทางฝั่งซ้ายฝั่งเดียว และให้มาเฉพาะรุ่น RS แต่รอบนี้ดีหน่อยสามารถปิดการทำงานได้ ทำให้ไม่รบกวนเวลาดูแผนที่บนหน้าจอรถ
เบาะนั่งเป็นวัสดุหนังและหนังสังเคราะห์ ด้ายสีแดงถ้าเป็นรุ่น SV จะเป็นสีน้ำเงิน เบาะนั่งฝั่งคนขับปรับสูง-ต่ำได้ มีพนักเท้าแขนด้านข้างคนขับ ซึ่งตัวเบาะนั่งคู่หน้านี้ก็นุ่มแน่นกำลังดี รองรับสรีระเกือบทุกส่วนได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องขยับตัวกันบ่อย ๆ เวลาขับรถ
เช่นเดียวกับเบาะหลังที่นั่งสบาย ด้วยความเป็นรถเอสยูวีทำให้มีพื้นที่ในการวางขาสูงกว่ารถซีดานทั่วไป แถมยังพับได้แบบ 60:40 หรือจะพับทั้งหมดก็ทำได้ แต่การพับนั้นก็ไม่เหมือนรุ่นอื่น ๆ ของฮอนด้า ที่เป็นแบบ Ultra Seat และเมื่อพับแล้วก็ไม่ได้ราบเรียบเสมอไปกับพื้นที่เก็บของด้านหลัง ซึ่งถ้าทำได้จะแจ่มมากเลย
แต่ที่น่าสนใจคือการมีที่พนักท้าวแขนผู้โดยสารตอนหลังที่แม้จะไม่มีที่วางแก้วน้ำมาให้ แต่ก็ช่วยให้การเดินทางสบายขึ้นไม่น้อยเลย เช่นเดียวกับราวมือจับบนหลังคา 4 ตำแหน่งที่พร้อมให้ได้จับเวลาคนขับซิ่ง แต่ที่ผิดหวังอีกเครื่องหนึ่งคือราคานี้เราก็คาดหวังกับเบรคมือไฟฟ้า และออโต้เบรคโฮล ที่จะช่วยให้การใช้งานในเมืองมีความสุขมาก ๆ ยังไงไมเนอร์เชนจ์เมื่อไรใส่มาให้หน่อย
ภายในสีดำ วัสดุตกแต่งภายในสีแดง วัสดุตกแต่งคอนโซลแบบ Piano Black พวงมาลัยหุ้มหนังทรงกระชับจับสบาย เป็นแบบ Multi-Function พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ พวงมาลัยสามารถปรับสูง-ต่ำได้แต่ยังไม่สามารถเลื่อนเข้าเลื่อนออกได้ ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Paddle Shift) ไว้ให้ลองกับแบบสนุก ๆ อีกด้วย
หลังพวงมาลัยจะมีมาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว มีไฟแสดงผลการขับขี่แบบประหยัด (Eco Indicator) ส่วนข้างพวงมาลังจะเป็น ระบบ Push Start/Stop ที่เพียงพกกุญแจรีโมท Honda Smart Key System ไว้กับตัวก็สตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไปได้ กระจกมองหลังแบบตัดแสง แผงบังแดดพร้อมกระจกแต่งหน้าและแบบมีฝาปิด พร้อมไฟส่องสว่างด้านคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า
ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Smartphone และรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง Siri และ Android Auto ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) มีช่องเชื่อมต่อ USB 2 ตำแหน่ง และช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง
ด้วยความที่รู้สึกว่าหน้าจอ 7 นิ้วยังเล็กเกินไปและไม่ได้คมชัดอะไรมากมาย ทำให้การใช้งานยังไม่ค่อยสุนทรีย์เท่าใดนัก อยากได้แบบใหญ่อีกนิด คมชัดมากหน่อย เผื่อไว้ดูหนังฟังเพลงได้แบบสบายตา แต่สำหรับรุ่น RS นี้ก็มีลำโพงมาให้ 6 ตำแหน่ง เสียงก็ใช้ได้ถ้าไม่ใช่พวกหูเทพก็คงไม่ซีเรียส ส่วนระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมระบบทำความเย็นเร็วและโหมดทิศทางลมเพื่อความสะดวกสบายก็เย็นจนบางครั้งต้องหรี่ให้เบาหน่อย
กระจกไฟฟ้า 4 บานพร้อมระบบปรับขึ้นลงอัตโนมัติด้านคนขับ มีช่องเก็บของหลังเบาะผู้โดยสารด้านหน้า ที่แขวนของในพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย ที่วางแก้วรวมแล้ว 6 ตำแหน่งแบบนั่งเต็มคัน 5 คนก็ไม่ต้องแย่งกัน แถมยังเกินมาอีก มีไฟภายในห้องโดยสาร 2 ตำแหน่งและไฟส่องสว่างห้องสัมภาระท้าย เรียกได้ว่าจุดเล็กจุดน้อยนั้น ฮอนด้าทำมาได้เป็นอย่างดี เก็บรายละเอียดได้ดีทีเดียว
ส่วนรูปทรงภายนอกต้องบอกเลยว่า “สวย” การออกแบบดีดูกระชับ คล่องแคล่ว ด้วยกระจังหน้าโครเมียมแบบสปอร์ต โดดเด่นด้วยสัญลักษณ์ RS ไฟหน้าพร้อมไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED sequential และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED ไฟท้ายแบบ LED และระบบเปิดปิดไฟหน้าอัตโนมัติ สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับและพับไฟฟ้า พร้อมพับเก็บอัตโนมัติ ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบหน่วงเวลา และระบบปัดน้ำฝนด้านหลัง เสาอากาศแบบครีบฉลาม ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว ส่วนที่ชอบที่สุดของฮอนด้าคือ ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock) ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่ชอบลืมว่า “ฉันล็อกรถหรือยัง”
ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) ก็เป็นอีกฟังก์ชันหนึ่งที่เหมาะกับอากาศบ้านเรา ส่วนกล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) เวลาถอยหลังก็ปรับได้ตามความถนัดของแต่ละคนเลยว่าชอบมองมุมไหน
และที่ขาดไม่ได้คือ Honda CONNECT เทคโนโลยีที่เชื่อมคุณและรถยนต์เข้าไว้ด้วยกัน ผ่านการทำงานของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน แต่มีให้เฉพาะรุ่น RS เท่านั้นนะ
แน่นอนว่าการเปิดฝากระโปรงท้ายของ ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี ยังเป็นแบบอัตโนมือ แม้จะดูท้ายสั้นมากแต่เราก็สามารถวางกระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้วได้ถึง 4 ในเลยนะ แถมยังวางของอื่น ๆ เพิ่มได้อีก ประมาณว่าแม้จะดูตัวเล็ก แต่ท้ายผมไม่เล็กนะครับ ดังนั้นจึงมั่นใจว่าการเดินทางไปต่างจังหวัดแบบเต็มรถ 4 คนจะสามารถพกสัมภาระติดตัวไปได้ครบทุกคนอย่างแน่นอน
ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น RS ราคา 869,000 บาท รุ่น SV ราคา 799,000 บาท สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีใหม่ สีเงินสเตลลาร์ ไดมอนด์ (มุก) สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) / หลังคาสีดำ (ทูโทน) (เฉพาะรุ่น RS) สีดำคริสตัล (มุก) สีเทาเมทิเออรอยด์ (เมทัลลิก) และสีขาวทาฟเฟต้า
บทสรุปของ ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี น้องเล็กรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับคำว่า “แพง” สำหรับคนที่ยังไม่ได้สัมผัสหรือทดลองขับ แต่เมื่อได้อยู่ด้วยจริง ๆ แล้ว ดับเบิลยูอาร์-วี เป็นรถที่มีเสน่ห์น่าคบหาคันหนึ่งเลยทีเดียว แม้จะใช้เครื่องยนต์ล้วนแบบ 1,500 ซีซี แต่ก็มีพละกำลังเหลือเฟือที่จะพาเราไปไหนมาไหนได้แบบไม่เป็นรองใคร
แถมช่วงล่างยังดีเกินหน้าเกินตาซีดานคันเก่งของค่ายไปมาก ให้ความกระชับ ขับในความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ และด้วยการเซ็ตพวงมาลัยและการเซ็ตเกียร์ CVT ที่ดีงาม ทำให้รถคันนี้เป็นรถที่ขับสนุกคันหนึ่งเลยทีเดียว ประหยัดได้ตามนิสัยของการขับขี่ เหยียบมากกินมาก เหยียบพอดี ๆ ก็จะพอจิบ ๆ และที่สำคัญคือนั่งได้อย่างสะบายสุด ๆ ใน 4 ที่นั่ง แต่ถ้ามากัน 5 คนก็พาไปไหว
สิ่งเดียวที่อาจจะติดขัดสักหน่อย แต่อาจจะไม่ใช่ปัญหาของคนอื่นคือกล้องมองรอบคัน และเบรคมือไฟฟ้า ซึ่งราคาในรุ่น RS นั้นถ้าใส่ออปชันเหล่านี้มาให้การบ่นว่า “แพง” จะลดน้อยลงไปเลย เพราะอุปกรณ์ทั้งความปลอดภัยและไฮเทคที่ให้มานั้นก็อัดแน่นจนน่าพอใจอย่างมาก และอย่างที่บอกไปว่าสามารถใช้งานได้แบบสบาย ๆ ทั้งในเมืองและไปเที่ยวต่างจังหวัด
ดังนั้นใครที่ยังไม่พร้อมไปรถยนต์ไฟฟ้าล้วนหรือไฮบริด ขนาดกำลังดีสำหรับคนโสด หรือคู่รักที่ลูกยังเล็ก มีออปชันให้ใช้กันแบบไม่อายใคร อยากได้รถสูงไว้ลุยน้ำท่วมในกรุงเทพ หรือเอาไว้ไปเที่ยวต่างจังหวัดที่ถนนยังไม่ค่อยดีนัก ด้วยความสูงของรถคันนี้จึงตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
และที่สำคัญคือคุณจะเป็นผู้ใช้รถเซ็กเมนต์ใหม่กลุ่มแรก ๆ ของเมืองไทยเลยทีเดียว เพราะตอนนี้คู่แข่งที่ขนาดเท่ากันยังไม่มี และที่กำลังจะมาใหม่ก็ตัวใหญ่ไม่ใช่ทรงกระชับและลงตัวแบบนี้ ยิ่งถ้าเป็นสาวกฮอนด้าแล้วกำลังมองหารถใหม่ ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี จะทำให้คุณรู้สึกถึงพัฒนาการของการขับที่ดีขึ้นกว่าเดิม แบบเห็นได้อย่างชัดเจนเลย
ขอบคุณ ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ที่ให้หยิบยืมรถมาทดสอบในครั้งนี้ด้วยครับ