ในบรรดาคอมแพ็คซีดานในตลาดเมืองไทยก็มีอยู่ไม่กี่รุ่น และก็เป็นยี่ห้อที่คุ้นเคย แต่สำหรับคนที่รักในความแรงแล้ว ดูเหมือน Honda Civic e:HEV จะเป็นทางเลือกในลำดับแรก เพราะนอกจากพละกำลังที่มีมาให้ใช้กันอย่างเหลือเฟือแล้ว ยังพกความประหยัดมาให้อีกด้วย
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 8 วินาที พร้อมกับอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 20 กิโลเมตรต่อลิตร แน่นอนว่าคู่แข่งไม่มีใครสามารถทำได้ แม้กระทั่งตัวเทอร์โบเองก็ยังให้ตัวเลขที่ดีไม่เท่า แต่สิ่งที่ค่อนข้างหนักใจสำหรับคนที่จะซื้ออยู่ตรงที่ “จะเลือกรุ่นไหนดี” ระหว่าง e:HEV EL+ ราคา 1,129,000 บาท หรือจะก้าวไปหารุ่นท็อปอย่าง e:HEV RS ที่มาพร้อมราคา 1,259,000 บาท
Civic e:HEV จะมาพร้อมอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นจากรุ่น 1.5 Turbo ประกอบด้วยกรอบโลโก้ H Mark ด้านหน้าและด้านหลัง ตกแต่งด้วยสีฟ้า กระจังหน้า ตกแต่งด้วยแถบโครเมียม กรอบกระจกหน้าต่าง ตกแต่งด้วยแถบโครเมียม มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ ตกแต่งด้วยโครเมียม สัญลักษณ์ e:HEV บริเวณฝากระโปรงท้าย ปลายท่อไอเสียฝั่งเดียว ไม่ได้มาท่อคู่แบบรุ่น 1.5 Turbo
อันดับแรกต้องบอกก่อนเลยว่าภาพรวมภายนอกของรถจะดูต่างกันไม่มากนัก ยกเว้นล้อ เพราะ e:HEV EL+ จะมาพร้อม ล้ออัลลอย สีทูโทน ขนาด 17 นิ้ว จะดูออกแนวขรึมกว่า ดูสุขุมกว่า และที่สำคัญคือคนที่ชอบภายในห้องโดยสาร โทนสีเทาเบจ ก็จะมีเฉพาะรุ่น e:HEV EL+เท่านั้น ส่วนแม็กของรุ่น e:HEV RS จะใหญ่กว่า 1 นิ้ว และมีลวดลายที่สปอร์ตชัดเจนกว่า
นอกจากนี้การจะก้าวไปสู่รุ่น e:HEV RS ก็จะต้องจ่ายเพิ่ม 130,000 บาท เพื่อให้มีอุปกรณ์ที่ประกอบไปด้วย สัญลักษณ์ RS ด้านหน้า – ด้านท้าย มือจับเปิดประตูสีดำ ตกแต่งด้วยโครเมียม ปลอกท่อไอเสีย เสาอากาศแบบครีบฉลามสีดำ สปอยเลอร์หลังสีดำ ล้ออัลลอย สีทูโทน ขนาด 18 นิ้ว กับยางขนาด 235/40 ZR18
แต่สำหรับรุ่นที่เรานำมาทดสอบกันนี้ ทางฮอนด้าได้มีการแต่งเพิ่มเติมเล็กน้อย ดังนั้นตัวที่ขายจริงกับในรูปอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง
มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ ขนาด 10.2 นิ้ว เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง และหนังสังเคราะห์ เดินตะเข็บด้ายสีแดง พนักพิงเบาะนั่งด้านหลังพับได้ 60 : 40 กุญแจแบบการ์ด Honda Smart Key Card ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา Dual Zone ระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT ระบบนำทางผ่านดาวเทียม Navigation System แป้นคันเร่ง และแป้นเบรก แบบสปอร์ต ไฟส่องสว่างตกแต่งแผงประตูคู่หน้าและที่เท้า แต่ถ้าหากใครรู้สึกว่าออปชันที่เพิ่มมาไม่จำเป็นเท่าไร นำส่วนต่างของการผ่อนต่อเดือนไปเติมน้ำมันดีกว่า ก็ไปหารุ่น e:HEV EL+กันต่อ
แน่นอนว่าทั้ง 2 รุ่นนั้นใช้เครื่องยนต์และช่วงล่างแบบเดียวกัน ดังนั้นสมรรถนะการขับขี่จะไม่ต่างกัน แต่รุ่น e:HEV RS อาจจะแอบสะเทือนกว่า เพราะด้วยยางหน้ากว้างและซีรีย์ยางที่เตี้ยกว่า แต่ภาพรวมดูแล้วไม่ได้ทำให้การขับขี่ดีหรือแย่กว่ากันแบบชัดเจน
ในด้านเครื่องยนต์ถ้าใช้เครื่องเดียวกับฮอนค้า HRV ก็คงไม่ว๊าวเท่าไร แต่นี่มากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 1,993 ซีซี. พละกำลังสูงสุด 141 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 182 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบ/นาที รองรับน้ำมันสูงสุด Gasohol E20 พร้อมกับความจุถังน้ำมัน 40 ลิตร
ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous Permanent Magnet Electric Motor 2 ตัว ประกอบด้วยมอเตอร์ Generator และมอเตอร์ขับเคลื่อน พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion พละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า (PS) ที่ 5,000 – 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร ที่ 0-2,000 รอบ/นาที
สมรรถนะเครื่องยนต์บอกเลยว่าให้ความพึงพอใจได้มาก แรงและเร็วได้ตามใจที่ต้องการ เนื่องจากแค่เครื่องยนต์อย่างเดียงก็มีซีซีที่สูง แรงม้าแรงบิดเพียงพออยู่แล้ว พอทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วบอกเลยว่า ขับสนุกมาก อัตราเร่งมาอย่างต่อเนื่อง กดคันเร่งเมื่อไรรถก็พร้อมที่จะตอบสนองได้แบบเอาใจสายซิ่งมาก ไม่หน่วง ไม่รอรอบ ถ้าออกตัวพร้อม ๆ กับออลนิวนี่ เราจะมองกระจกหลังเห็นควันของรถเขาพุ่งอยู่ข้างหลังลิบ ๆ
แต่ติดอย่างเดียวตรงที่จะสนุกกว่านี้้ถ้ามีการเซ็ตช่วงล่างใหม่ ให้รองรับกับพละกำลังที่ดีขึ้น เพราะในการลัดเลาะไปในทางคดโค้ด ตามแนวเขาเส้นทางระหว่างแพร่ไปน่านนั้น ช่วงล่างยังให้ความมั่นใจได้ไม่มากพอ มันออกจะโยน ๆ ไปสักหน่อย ในเวลาที่เข้าออกโค้งแคบ ๆ แม้จะไม่ได้ใช้ความเร็วสูงก็ตาม หรือแม้แต่การเปลี่ยนเลนกระทันหัน ก็มีวูบวาบได้เหมือนกัน
แต่การขับในชีวิตประจำวัน ถ้าขับแบบปกติก็จะไม่มีปัญหาอะไร ออกจะนุ่มนวลและซับแรงสะเทือนได้ดี ค่อนข้างนิ่งในทางตรง ทรงตัวดีในความเร็วสูง แต่ถ้าเป็นคนขับที่เน้นซิ่งมุดซ้ายมุดขวา ต้องแนะนำเปลี่ยนโช๊คใหม่
แต่สำหรับขาซิ่งก็ไม่ต้องกลัว เพราะสำหรับฮอนด้านั้นเขาก็มีสำนักแต่งที่พร้อมที่จะทำช่วงล่างใหม่ให้สปอรต์ขึ้นหลายแบรนด์ หลายรุ่นและราคาอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าใครยังไม่พอใจกับช่วงล่างแบบเดิม ก็ไปเสริมเอาใหม่ จะได้ขับสนุกมากยิ่งขึ้น
ด้านอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันแม้ความจุถังน้ำมันจะมีเพียงแค่ 40 ลิตร แต่ก็ไม่ต้องเติมกันบ่อย เพราะถ้าขับแบบธรรมดา เร่งบ้าง เร็วบ้าง แซงบ้าง เกิน 16 กิโลเมตรต่อลิตรแน่ ๆ และถ้าขับดี ๆ เรื่อย ๆ ก็มีให้เห็นกันที่ 20 กิโลเมตรต่อลิตรอย่างแน่นอน ในอัตรานี้คิดแบบนั่งคนเดียว ขับคนเดียวนะ ถ้านั่งกันเต็มรถก็จะกินเพิ่มกว่านี้แน่นอน
เรื่องนี้นับเป็นข้อดีของไฮบริดฮอนด้า ที่จะมาพร้อมทั้งความแรงและประหยัด ที่คู่แข่งให้ไม่ได้ โดยยังมาพร้อมโหมดการขับขี่ Drive Mode 3 รูปแบบ ได้แก่ ECON, NORMAL และ SPORT ให้เลือกได้ว่าอยากประหยัดมากน้อยแค่ไหน ถ้าอยากสะใจก็ไปสปอร์ต เพราะคันเร่งจะพร้อมช่วยให้รถพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้แบบไม่ต้องใช้แรง
พวงมาลัยก็ให้การตอบสนองที่ดีในความเร็วต่ำ ส่วนความเร็วสูงนั้นก็ยังไม่ค่อยโดนใจเท่าไร เช่นเดียวกับเบรคที่หากเป็นคนที่ชอบขับเร็วสูงบ่อย ๆ ก็ควรเปลี่ยนผ้าเบรคให้รองรับกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นด้วย แต่ก็เหมือนเดิมคือถ้าขับแบบทั่วไปเบรคที่ให้มาก็ยังตอบสนองได้ดีไม่มีปัญหา
กลับมามองเรื่องดีไซน์ภายนอกกันบ้าง ซีวิครุ่นล่าสุดนี้ออกมาแนวสปอร์ตแบบผู้ใหญ่หน่อย ไม่ได้โฉบเฉี่ยวแบบรุ่นก่อนหน้า แต่ก็มีเส้นสายที่ทันสมัย ดูดีมีความเป็นกลางมากขึ้น ไม่ได้เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง และด้วยการตกแต่งของ e:HEV EL+ ด้วยแล้วก็กลายเป็นรถครอบครัวที่ทรงพลังได้แบบสบาย ๆ เลยทีเดียว
ด้านหน้ามาพร้อมไฟหน้าแบบ ไฟหน้า Full LED ที่ให้ความสว่างได้ดีมากในที่มืด โดยจะมาพร้อมระบบเปิด-ปิด ไฟหน้า มีไฟ Daytime Running Light แบบ LED และไฟตัดหมอกคู่หน้า LED แบบอัตโนมัติ ไฟท้าย LED C Line ก้านปัดน้ำฝน พร้อมระบบฉีดน้ำในก้านปัด ระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติ Rain Sensor
กระจกมองข้าง พร้อมไฟเลี้ยวในตัว สามารถที่จะปรับและพับด้วยไฟฟ้า และพับเก็บอัตโนมัติเมื่อล็อครถ ส่วนมือเปิดประตูภายนอกสีเดียวกับตัวรถ ตกแต่งด้วยโครเมียม มีเสาอากาศครีบฉลามสีเดียวกับตัวรถ
กุญแจรถ e:HEV EL+ จะให้สมาร์ทคีย์แบบทั่วไป ส่วนรุ่น RS จะได้กุญแจบัตร Smart Key Card ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ เพราะไม่ว่าจะใช้แบบไหนเมื่อเราเดินเข้าใกล้รถแล้วจับประตู ระบบล็อคก็เปิดให้เป็น Smart Keyless Entry เหมือนกันอยู่ดี และเมื่อดับเครื่องลงจากรถ รถก็จะล็อกรถให้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ระบบสตาร์ทรถด้วยกุญแจรีโมท Remote Engine Start เพื่อให้รถเปิดแอร์รอได้อีกด้วย
เมื่อปลดล็อคเรียบร้อยก็ถึงตอนเข้าไปนั่งในห้องโดยสาร ต้องบอกว่าเข้าง่าย ออกง่าย เบาะนั่ง e:HEV EL+ ได้เบาะคนขับไฟฟ้า ปรับได้ 8 ทิศทาง ส่วนฝั่งคนนั่งเป็นแบบไฟฟ้าปรับได้ 4 ทิศทาง แถมเบาะด้านคนขับยังสามารถกดลงให้เตี้ยสุด ๆ แบบที่ขาซิ่งนิยมกันได้อีก
แต่ถ้ากดกันลงสุดก็ต้องโหนตัวลุกขึ้นมาให้ได้ อันนี้ก็แล้วแต่ความถนัดและสะดวกของผู้ขับขี่ก็แล้วกัน เอาเป็นว่าจัดตำแหน่งให้ขับได้สะดวก ควบคุมให้ได้ในทุกสถานการณ์ก็พอ
การขับขี่ทางไกลในครั้งนี้เราเดินทางกันไปถึงน่าน เพื่อที่จะให้รู้ว่ารถคอมแพคคาร์สามารถตอบโจทย์ได้ดีแค่ไหนกับการเดินทางไกล เพราะปัจจุบันรถเอสยูวีเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เบาะนั่งจะสบายกว่าซีดานอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในเรื่องนี้เบาะของ Civic e:HEV EL+ก็สามารถตอบโจทย์ได้ดีพอสมควร
ทำให้เราขับทางไกลได้แบบไม่เมื่อยล้ามากนัก และยังให้ความรู้สึกสบาย ไม่ว่าจะเป็นทรงเบาะที่โอบกระชับกำลังดี หรือความนุ่มแน่นของเบาะก็ทำมาได้แบบพอดีเช่นกัน
เช่นเดียวกับในตำแหน่งเบาะหลังก็ให้ความสบายได้มากเช่นกัน แถมยังมีช่องแอร์หลังมาให้ด้วย แต่ก็แน่นอนว่าจะปรับอุณหภูมิเองไม่ได้ ต้องให้คนหน้าบัญชาการเท่านั้น กว้างขวางและเพียงพอกับการนั่ง 4 คนแบบสบาย ๆ วางแข้งวางขากันได้แบบไม่อึดอัด ซึ่งฮอนด้าจะค่อนข้างเก่งเรื่องการจัดการเนื้อที่ภายในห้องโดยสารในทุกรุ่นอยู่แล้ว
แต่สำหรับ Civic e:HEV EL+ เสียอย่างเดียวคือเราไม่สามารถพับเบาะด้านหลังลงมาเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้ ถ้าอยากพับได้ต้องไปรุ่น RS แต่ก็ยังดีที่มีที่วางแล้วน้ำพร้อมวางแขนตรงกลางมาให้ อันนี้ก็พอช่วยทำใจได้บ้าง
ส่วนพื้นที่เก็บของด้านท้ายรถก็จัดได้มากว้างขวาง มีให้ใช้ถึง 493 ลิตร วางกระเป๋าเดินทางได้หลายใบอยู่ ฝากระโปรงท้าย ก็จะมีปุ่มกดเปิดได้จากภายในรถ และสามารถกดเปิดโดยตรงที่ด้านท้ายรถ และเปิดจากรีโมทได้ ใต้พื้นที่เก็บของจะเป็นที่อยู่ของยางอะไหล่ที่ให้วิ่งได้ไม่เกิน 80 กม./ชม.
การออกแบบตกแต่งภายในโดยเฉพาะแดชบอร์ดสำหรับโฉมนี้โดยส่วนตัวต้องบอกเลยว่าค่อนข้างชอบ ดูเรียบ ขรึม แนวรถยุโรป แต่ก็มีลูกเล่นให้ไม่น่าเบื่อ โดยเฉพาะตาข่ายอะลูมิเนียมที่คาดยาวไปตามแนวที่แอร์จะออกมา แต่อาจจะขัดในสายซิ่งที่น่าจะชอบแดชบอร์ดในรุ่นก่อนหน้านี้มากกว่า ก็ว่ากันไป
พวงมาลัย ปรับได้ 4 ทิศทางขึ้น-ลง และ เข้า-ออก ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง บนพวงมาลัย ปุ่มรับสาย-โทรออก บนพวงมาลัย กระจกมองหลัง แบบปรับลดแสงอัตโนมัติ กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบ One-Touch คู่หน้า ออปชันเหล่านี้จัดมาให้กันแบบไม่ต้องร้องขอ
แผงมาตรวัดหลังพวงมาลัยเป็นเป็นจอ MID ขนาด 7 นิ้ว จอฝั่งซ้ายจะแสดงผลแบบดิจิทัล เลือกให้แสดงข้อมูลด้านการขับขี่ได้หลายสิ่ง รวมถึงสถานะการทำงานของระบบ Adaptive Cruise Control ที่รุ่นไฮบริดก็ใส่กันมาให้แบบครบ ๆ ส่วนฝั่งขวาจะใช้เข็มความเร็วด้านขวาแบบอนาล็อก พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน
ขนาดหน้าจอเครื่องเสียงตรงกลางคอลโซล เป็นระบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 9 นิ้ว อยู่ในตำแหน่งสมัยนิยม โดยหน้าจอนี้จะรองรับ Apple CarPlay แบบไร้สายและแอนดรอย์ออโต้ ซึ่งหน้าจอแบบนี้ไม่ว่ารถรุ่นไหนก็จะยังคงใช้งานได้ไม่กี่ฟีเจอร์ ยังดูหนังและฟังเพลงแบบมีมิวสิควิดีโอไม่ได้ เพราะหากจะใช้แบบเหมือนหน้าจอมือถือนั้นต้องไปอัปเกรดจอใหม่ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีร้านรับทำมากมาย
การควบคุมสิ่งต่าง ๆ นั้นสำหรับแบรนด์ญี่ปุ่น คุณก็จะยังสามารถกดปุ่มได้แบบตรง ๆ ไม่ต้องไปค้นหาบนหน้าจอแบบที่รถไฟฟ้าเขานิยมกัน การใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ค่อนข้างง่ายและชัดเจน นี่อาจจะเป็นข้อดีของการใช้งานง่ายตามแบบฉบับอนุรักษ์นิยมของรถญี่ปุ่น รวมไปถึงวัสดุต่าง ๆ ที่ให้มาถือว่าดูดีและผิวสัมผัสไว้ใจได้
แม้ในรุ่นนี้จะไม่มี Wireless Charger มาให้ โดยส่วนตัวมองว่าไม่จำเป็น เพราะมีสมาร์ทโฟนไม่กี่รุ่นที่รองรับการชาร์จแบบไร้สาย และการใช้แบบนี้ก็ชาร์จได้ช้าแถมเครื่องยังร้อนอีก สู้ไปหาช่องเสียบพร้อมสายกำลังไฟสูง ๆ มาเสียบตรง DC Outlet (หรือช่องจุดบุหรี่แบบรถสมัยก่อน) แล้วชาร์จดีกว่า พลังไฟมากกว่า เร็วกว่ากันมาก ยิ่งถ้ามือถือรองรับฟาร์สชาร์ตด้วยแล้วนะ เร็วขึ้นไปอีก
เช่นเดียวกับที่เสียบชาร์จด้านหลังที่ให้ USB A กันมา 2 ตำแหน่ง ถ้าสายชาร์จเราเป็นสายแบบ USB C ก็แค่ไปหาหัวแปลงมาเพิ่มเพื่อให้เป็น USB C ได้ในราคาหลักร้อย ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปได้ไม่ต้องกังวล แถมยังได้ใจผู้โดยสารที่ยังคงใช้มือถือพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB A อีก
ขาดไม่ได้แล้วสำหรับรถยุคคนี้กับระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB และระบบ Auto Brake Hold ที่เรียกได้ว่าจำเป็นมาก ๆ โดยเฉพาะการขับในเมืองที่การจราจรอันแสนวุ่นวาย ส่วนออปชันอย่างระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมปรับความเร็วตามคันหน้า Adaptive Cruise Control ACC with LSF Low Speed Following และระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ LCDN ก็ถือว่าเป็นความไฮเทคที่เพิ่มความสะดวกได้ทั้งการใช้งานในเมืองและนอกเมือง
สิ่งที่ชอบอีกอย่างหนึ่งนอกจากการใส่เทคโนโลยีการขับขี่คือ ที่วางแก้วน้ำที่สามารถวางแก้วได้หลายขนาด โดยเฉพาะแก้วที่มีขนาดใหญ่สมัยนิยม ก็สามารถวางได้แบบสบาย ๆ เหมาะสำหรับนักขับที่ชอบกระหายน้ำในยามเดินทาง ที่ไม่จำเป็นต้องแวะเติมน้ำกันบ่อย ๆ ให้เสียเวลา ใส่แก้วใหญ่ครั้งเดียวอยู่ได้นาน ขับกันไกล ๆ สบาย ๆ แถมที่เก็บของตรงที่ท้าวแขนก็ลึกและใหญ่โต เก็บของได้หลายสิ่งอย่าง ดีงามมาก ๆ
ส่วนการตั้งค่าต่าง ๆ ของตัวรถก็ต้องเข้าไปหน้าจอ ที่เมนู Vehicle Settings เช่น การตั้งความการเตือนความปลอดภัยของตัวรถ การตั้งระบบเตือนการชนพร้อมให้รถช่วยเบรค ซึ่งพวกค่าต่าง ๆ เหล่านี้แนะนำให้เปิดไว้ ส่วนจะให้ตอบสนองช้าหรือเร็วขึ้นขึ้นอยู่ที่คนขับชอบเลยทีเดียว
แต่ที่ชอบที่สุดทุกครั้งเวลาขับรถไฮบริดคือ หน้าจอแสดงการทำงานของระบบ Hybrid (Energy Flow) ที่ทำให้เห็นว่าตอนนี้ใช้พลังงานอะไรอยู่ เครื่องยนต์ หรือแบตเตอรี่ อันนี้ก็เพลินไปอีกแบบ บางทีก็จะชอบเล่นกันคันเร่งให้พลังงานรีเจนกลับเข้าไปในแบตเตอรี่ ซึ่งการแสดงผลนี้ก็สามารถเลือกได้ทั้งจอกลาง หรือหน้าจอที่อยู่หลังพวงมาลัยเลย
ชุดเครื่องเสียงของCivic e:HEV EL+ จะมี 8 ลำโพง เสียงก็ถือว่าใช้ได้ และในรุ่นไฮบริดนี้ก็จะมีระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้ามาในห้องโดยสารเพิ่มมากให้อีก ก็เรียกได้ว่าฟังเพลงกันเพลิน ๆ ไป แถมด้วยเสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า (AVAS) ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะเงียบเกินไปเวลาขับในชุมชน
และที่ขาดไม่ได้เลยคือ Honda LaneWatch ซึ่งในรุ่นไฮบริดนี้ก็มีมาให้ด้วย ซึ่งเดิมระบบนี้เมื่อเปิดแล้วภาพจะมาบดบังแผนที่ในการเดินทาง แต่ฮอนด้ารุ่นใหม่ ๆ ผู้ใช้สามารถปิดระบบได้ ไม่จำเป็นต้องแสดงบนหน้าจอทุกครั้งที่ยกไฟเลี้ยว ทีแรกก็ไม่ค่อยจะปลื้มเท่าไรหรอกเพราะอยากได้กล้องมองรอบคันมากกว่า
แต่หลัง ๆ พอเวลาจะแซงแล้วมีมุมอับ ก็จะเปิดตัว Honda LaneWatch นี่ล่ะช่วยเพิ่มความมั่นใจ เพราะจะเปิดที่ความเร็วเท่าไรกล้องก็แสดง ไม่เหมือนกล้อง 360 องศาที่จะเปิดเวลารถวิ่งเร็ว ๆ ไม่ได้ แต่จะให้ดีขอเพิ่ม Blind Spot Monitoring มาให้หน่อย เพราะบางครั้งก็อยากได้ความปลอดภัยแบบอุ่นใจมากขึ้น
สำหรับระบบความปลอดภัยและช่วยเหลือการขับขี่นั้นก็จัดมาเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS ระบบเสริมแรงเบรก EBD ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน ESS
ระบบเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Driver Attention Monitor ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High-Beam ระบบเตือน และช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ RDM with LDM ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ LKAS ระบบเตือนการชนรถ และ คนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก CMBS
สรุปแบบไม่ต้องคิดมาก Honda Civic e:HEV EL+ คือรถครอบครัวขนาดกำลังดี ชอบรถที่แนวแอบซิ่ง เรียบหรู ไม่ได้ดูหวือหวาสะดุดตากว่าแบบรุ่น e:HEV RS เหมาะสำหรับคนที่ชอบพละกำลัง ชอบความกว้างขวางสะดวกสบายภายใน นั่งแบบ 4 คนสบาย ๆ 5 คนก็พอได้อยู่ รวมถึงเทคโนโนโลยีที่ต้องบอกว่ารอบนี้ฮอนด้าให้มาเต็มมาก
เป็นซีดานที่ขาซิ่งจะสบายใจได้กับอัตราการบริโภคน้ำมันที่ค่อนข้างจะสวนทางกัน กดกันหนัก ๆ ก็กินน้ำมันไม่เท่าไร เมื่อเทียบกับรถที่แรงเท่ากันแต่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีไฮบริดแบบฮอนด้า
แต่ก็มีข้อขัดใจเช่นกันกับช่วงล่างที่น่าจะเซ็ตให้เหมาะกับพลังของรถ ไม่มีคู่แข่งรายได้ให้อัตราเร่งที่ดีแบบนี้อีกแล้ว แต่ ออปชันอย่างการพับเบาะด้านหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่การบรรทุก ก็น่าจะอยู่ในรุ่นนี้มากกว่ารุ่นแต่งซิ่งแบบ e:HEV RS มากกว่าในรุ่นที่แต่งดูเป็นครอบครัวแบบคันนี้
Honda Civic e:HEV EL+ก็ยังเป็นซีดานที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบรถเก๋ง 4 ประตู แบบไม่คิดจะไปชอบรถสูงแบบเอสยูวี มีพละกำหลังเหลือเฟือเกินหน้าเกินตาคู่แข่ง มีออปชันความปลอดภัยไฮเทคและความบันเทิงจัดมาให้แบบครบ ๆ เหมาะสำหรับคนโสดที่ต้องการรถคันใหญ่เดินทางไกลสบาย เป็นรถครอบครัวขนาดพอดีที่สามารถบู๊ได้ทุกครั้งที่ใจต้องการ
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณพีอาร์บริษัท ฮอนด้า ออโต้โมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้หยิบยืมรถทดสอบกันในครั้งนี้ด้วยครับ