ทดลองขับ BYD Dolphin ออปชันแน่น สวยแบบลงตัว

Spread the love

 

ก่อนหน้านี้ Rêver Automotive (เรเว่ ออโตโมทีฟ) ได้ชวนให้ไปทดลองขับรถยนต์รุ่นใหม่ของ BYD จำนวน 6 รุ่น แต่ให้เลือกมา 2 รุ่นที่จะทำคอนเทนต์สั้น ๆ.. Techmoveon ก็เลือกรุ่นที่ชอบเป็นการส่วนตัวและคิดว่าน่าจะเข้ามาทำตลาดแน่ ๆ นั่นคือ Dolphin และ Seal

 

โดยตัวเลือกแรกอย่าง Dolphin นั้นค่อนข้างมั่นใจว่าจะเข้ามาทำตลาดในไม่ช้านี้ ส่วน Seal ก็เป็นรถซีดานไฟฟ้าที่ออกแบบได้สวยที่สุดแล้วในสายตา ลงตัวในทุกมุมมอง แม้จะติดขัดตรงการออกแบบไฟด้านหน้าในบางมุมเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ประเด็น

 

 

ครั้งแรกที่เห็น Dolphin จากภาพถ่ายในสื่อต่าง ๆ ก็รู้สึกว่าการออกแบบดูธรรมดา และค่อนข้างจะไม่หวือหวาเท่าคู่แข่งตากลมสักเท่าไร แต่พอได้เจอตัวจริงต้องบอกว่ามีเสน่ห์กว่าที่คิดไว้มาก เพราะค่อนข้างจะออกแบบได้ลงตัว ทั้งสีสันและเส้นสายดูกลมกลืนกันไป ไม่ได้จืดชืด มองได้เรื่อย ๆ ไม่เบื่อ

 

ความเด็ดอยู่ที่ภายในนี่ล่ะ ถึงขนาดตัวรถจะดูไม่ได้ใหญ่โต แต่ถ้าได้เข้าไปนั่งข้างในต้องบอกเลยว่าสบายทุกตำแหน่งที่นั่ง วัสดุที่ใช้ให้ผิวสัมผัสที่ดี มีความล้ำสมัยแต่เรียบง่าย มีเสน่ห์กว่ารถยนต์ทั่วไป แถมภายในสีม่วงก็เป็นม่วงแบบอ่อน ไม่ได้ฉูดฉาด สามารถขับได้ทุกเพศทุกวัย ไม่จำเป็นต้องสายหวาน

 

ถ้าเราสังเกตกันดี ๆ ดีไซน์ต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวจะมีความเก๋ไก๋ และมีหลายชิ้นส่วนที่เหมือนกับอวัยวะต่าง ๆ ของปลาวาฬ ซึ่งก็ตามชื่อเขานั่นล่ะ ด้วยโทนสีภายในห้องโดยสารจะเป็นแนวโปร่ง สีสบายตา ช่วยให้การเดินทางเป็นไปด้วยความผ่อนคลาย

 

 

Dolphin มีขนาดตัวถังยาว 4,150 มิลลิเมตร กว้าง 1,770 มิลลิเมตร สูง 1,570 มิลลิเมตรความยาวฐานล้อ 2,700 มิลลิเมตร และระยะต่ำสุดใต้ท้องรถอยู่ 130 มิลลิเมตร ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ยาง ขนาด 195/60R16

 

ส่วนขุมพลังนั้นก็จะขับเคลื่อนล้อคู่หน้า ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 1 ตัว กำลังสูงสุด 94 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร พร้อมแบตเตอรี่ Blade CTB (Cell-to-body) ความจุ 44.9 kWh มีระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จอยู่ที่ 410 km. (มาตรฐาน NEDC)

 

การได้ลองในช่วงสั้น ๆ ณ สนามแข่งปทุมธานีสปีดเวย์ ต้องบอกเลยว่ามีดีกว่าที่คิด พละกำลังก็ดีงามตามประสารถไฟฟ้าคือออกตัวแบบไม่ต้องรอรอบ ไม่ได้แรงมากแต่ก็ขับสนุกกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป

 

ขนาดตัวรถกำลังพอดีทำให้คิดว่าถ้าขับในเมืองที่จอแจก็น่าจะให้ความคล่องแคล่วและคล่องตัวได้มากทีเดียว ช่วงล่างกำลังดีนุ่มแน่น ซึ่งในการทดสอบนี้ไม่ได้เน้นกันแรง ๆ เพราะด้วยรูปทรงขอรถและการเซ็ตต่าง ๆ มาเป็นรถให้ใช้งานประจำวันไม่ใช่จะไปแข่งขันกับใคร

 

ทางด้านออปชันที่ใส่มา แน่นอนว่าจะให้น้อยกว่าคนอื่นได้อย่างไร แต่ก็จะลองบอกพอเป็นพิธีก่อนว่าที่เห็นมีอะไรบ้าง และตัวจริงจะมามากกว่าหรือน้อยกว่าแค่ไหน ต้องรอให้เปิดตัวอย่างเป็นทางการกันก่อน

 

 

เริ่มตั้งแต่พวงมาลัยทรงสปอร์ต 3 ก้าน ที่ด้านหลังจะมีหน้าจอแสดงผลขนาด 5 นิ้ว วัสดุหุ้มเบาะนั่งแบบหนังสังเคราะห์ เบาะนั่งคนขับปรับด้วยมือได้ 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยมือได้ 4 ทิศทาง ส่วนพนักพิงเบาะนั่งหลังพับได้แบบ 60:40

 

หน้าจอแบบสัมผัสขนาด12.8 นิ้ว ปรับหมุนได้อัจฉริยะซึ่งก็เป็นข้อดีของคนที่มีความชอบไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบแนวตั้ง หรือบางคนอาจจะชอบแนวนอนก็เลือกใช้กันไป

 

ส่วนระบบความปลอดภัยก็แน่นอนว่าแบรนด์จากจีนนั้นไม่เคยน้อยหน้าใครอยู่แล้ว แถมจัดมาให้แบบเต็ม ๆ อีกด้วย อย่างเช่น ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง (TPMS) ระบบเบรกมือไฟฟ้า (EPB)ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ(ESC) ระบบป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ Traction Control System (TCS) ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก Electronic Brake Force Distribution (EBD)

 

 

ระบบเตือนก่อนเปิดประตู Door Open Warning (DOW) กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ(AEB) ระบบเตือนเมื่อรถออกจากเลน(LDW) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ(LKS) ระบบเตือนก่อนเปิดประตู (DOW) ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTB) เป็นต้น

ทั้งนี้มีการคาดการณ์กันว่าราคาน่าจะอยู่ที่ 799,999 บาท ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้าได้ราคานี้บอกเลยว่าคุ้มค่ามาก กับออปชันที่ให้และสิ่งต่าง ๆ ที่จะได้รับ แต่ถ้ากดลงมาได้สัก 750,000 บาท รับรองได้ว่ายอดขายน่าจะกระฉูดอย่างแน่นอน อันนี้ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป

 

Scroll to Top