การผสานรวมเทคโนโลยี ไอที และเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (โอที) ในภาคการผลิต ตอบ โจทย์โลกอุตสาหกรรมยุคดิจิทัล

Spread the love

หลังเกิดโรคระบาด ภาคอุตสาหกรรมการผลิตคาดว่าจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทอุตสาหกรรมกำลังนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ซึ่งช่วยให้สามารถ ปรับใช้แอปพลิเคชันและบริการใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้มีความคล่องตัว

 

สิ่งที่เห็นในปี 2564 และนับจากนี้ คือ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีการนำ IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรม หรือ Industrial Internet of Things (IIoT) มาใช้งานเพิ่มมากขึ้น การ์ตเนอร์ คาดการณ์ว่าภายในปี 2568 องค์กร 50% จะใช้แพลตฟอร์ม IIoT พร้อมกับมีการใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ เพิ่มมากขึ้น เพื่อรับข้อมูลจากจุดต่างๆ ในเครือข่าย และปรับปรุง การดำเนินงานของโรงงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ซึ่งมีเพียง 10% ที่นำ IIoT มาใช้งาน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีการเติบโต และไทยพร้อมที่จะเป็นผู้เล่นหลักในภูมิภาคนี้

 

ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันในเดือนเมษายนที่ผ่านมา และสถานการณ์ในอนาคตของตลาดยังคงดูสดใส อีกทั้งยังมีการสนับสนุนจากภาครัฐ ที่ช่วยดูแล การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งช่วยผลักดันให้ไทยก้าวเดินออกห่างจากอุตสาหกรรมดั้งเดิม ไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงหรือระบบอัจฉริยะ ความตั้งใจในการเสริมศักยภาพให้กับผู้ผลิต

 

ติดปีกด้วยเครื่องมือดิจิทัล

 

จากการสำรวจของ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อ เศรษฐกิจและสังคม เมื่อปี 2563 คาดการณ์ว่าฮาร์ดแวร์และสมาร์ทดีไวซ์ของไทยจะเติบโต 4.40% คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 286,448 ล้านบาท ปัจจัยหลักของการเติบโตมาจากมีโครงการต่างๆ ดำเนินการอยู่ รวมถึงการวางแผนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และความพร้อมสำหรับหลังโควิด-19 นวัตกรรมเกี่ยวกับ IoT และระบบอัตโนมัติ รวมถึงเทคโนโลยีหุ่นยนต์ถูกนำมาใช้มากขึ้นในโรงงานแทนที่แรงงานต่างชาติ และงานอื่น ๆ ที่แรงงานไทยปฏิเสธ

 

การที่ข้อมูลได้กลายเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงองค์กรและเป็นรากฐานแห่งวิวัฒนาการของภาคการผลิต ดังนั้น ผู้ผลิตจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้อีกต่อไป ข้อมูลยังช่วยให้ ซัพพลายเชนภาคอุตสาหกรรมที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงแบบดั้งเดิม ได้เปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบ ที่เชื่อมต่อกัน ทำให้ผู้ผลิตสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพเชิงปฏิบัติการ ให้ดีขึ้น และสร้างความได้เปรียบ ทางการแข่งขัน อีกทั้งการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวยังนำมาซึ่งการผสานรวมของโลกไอที และโอที เพื่อประสิทธิภาพที่เหนือกว่าเดิมอีกระดับ

 

การผสานรวมของโลกไอที และเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการโอที ที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัล การผสานรวมของระบบไอที และโอที ในภาคการผลิตไม่ใช่แนวคิดใหม่ ที่จริงมีการพูดถึงแนวโน้มดังกล่าว ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2011 และที่จริงในทุกวันนี้ ผู้ดูแลระบบไอที ในบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ต้องรับมือกับเรื่องโอที มากกว่าที่เคยเป็นมา

 

บทบาทของทีมงานด้านไอที และโอที ในองค์กรเหล่านี้ได้เติบโตขึ้น ครอบคลุมตั้งแต่เรื่องการตรวจสอบ ระบบอีเทอร์เน็ตภาคอุตสาหกรรมไปจนถึงการดูแลโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับด้านโอที ให้ทำงานได้ ตามปกติ อีกทั้งขอบเขตด้านไอที และ OT ก็มีความเกี่ยวข้องกันมากขึ้น มีการส่งข้อมูลจากโรงงาน ไปยังระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) หรือระบบคลาวด์ ภายใต้ความท้าทายที่ว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้ทั้งสองทีมสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น แม้จะมีจุดแข็ง มุมมอง องค์ความรู้ และงานที่ให้ความสำคัญแตกต่างกันไป

 

ทีมงานด้านไอที มักให้ความสำคัญกับข้อมูลธุรกิจและการอัปเดตให้ทันเทคโนโลยี ขณะที่ทีมงานด้านโอที มักมองถึงประสิทธิภาพของภาคการผลิตและความยั่งยืนในกระบวนการ การตามหาจุดสมดุล ที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจจึงเป็นเรื่องยาก และก้าวต่อไปที่ควรดำเนินการก็คือ การทำให้ทั้งสองฝ่าย เข้าใจภาพรวมในกระบวนการทั้งหมด

 

งานด้านไอที และโอที มีชุดเครื่องมือที่ต่างกันภายใต้มาตรฐานและโปรโตคอลจำนวนมากที่ไม่เหมือนกัน ปัญหาดังกล่าวจะทวีคูณในองค์กรขนาดใหญ่ที่อาจประกอบด้วยอุปกรณ์ด้านไอที และโอที ที่หลากหลายสถานที่จำนวนนับร้อยนับพันเครื่อง เพราะอาจหมายถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น จากปัญหาที่เล็ดรอดสายตาของทั้งสองทีม ดังนั้น ระหว่างที่ผู้ผลิตต่างมุ่งมั่นให้การผสานความร่วมมือ ดำเนินไปอย่างราบรื่น ผู้ผลิตก็ควรพิจารณาถึง เทคโนโลยีที่จะช่วยดูแล กระบวนการทำงานทั้งหมด ในฟากการผลิตโดย:

 

1. การมอนิเตอร์ระบบโอที และโครงสร้างพื้นฐานภาคอุตสาหกรรม – เพื่อให้เข้าใจสภาวะในโรงงานผ่านการสังเกตและการมอนิเตอร์อุปกรณ์พิเศษในฝั่ง OT เช่น

 

● อุปกรณ์อีเทอร์เน็ตภาคอุตสาหกรรมอย่าง เราเตอร์ สวิตช์ และไฟร์วอลล์
● ตู้เก็บอุปกรณ์ภาคอุตสาหกรรมซึ่งใช้จัดเก็บอุปกรณ์และฮาร์ดแวร์
● เกตเวย์ภาคอุตสาหกรรมซึ่งเชื่อมส่วนต่างๆ ที่มีการแปลงโปรโตคอล รวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกัน และถ่ายโอนไปยังปลายทางต่างๆ

 

2. การดูแลให้การทำงานของตัวควบคุมและระบบสั่งงานเป็นไปตามปกติ – การมอนิเตอร์ระบบโรงงานอย่าง SCADA และ MES ตลอดจนการดูแลให้การทำงานเป็นไปตามปกติถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสถาปัตยกรรมเชิงอุตสาหกรรม เพราะหากระบบมีปัญหาก็อาจก่อความเสียหายคิดเป็นมูลค่ามหาศาลได้ในทันที

 

3. การผสานข้อมูลโอทีภายใต้แนวคิดการมอนิเตอร์ระบบ – ปิดจุดบอดในโครงสร้างระบบโดยการผสานรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ภายใต้เครื่องมือชิ้นเดียวซึ่งช่วยแสดงภาพรวมการทำงานขององค์ประกอบด้านไอที และโอที ได้ทุกส่วน

 

เมื่อผู้ผลิตสามารถสังเกต ติดตาม จัดการ เข้าใจ และดำเนินการตามข้อมูลที่รวบรวมได้มา ก็จะสามารถขับเคลื่อนทิศทางของข้อมูลและกระบวนการด้วยบุคลากร และเครื่องมือที่เหมาะสมต่อไป ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล ของฝั่งใด จะอยู่รวมศูนย์หรือสุดปลายขอบ ความสามารถในการมอนิเตอร์ระบบ เครือข่ายซัพพลายแบบดิจิทัลทั้งหมด และการดูแลให้ระบบทำงานเป็นปกติ จะช่วยให้เกิดผลลัพธ์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

 

ดังนั้นในยามที่เราก้าวเดินสู่อนาคต นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ในภาคอุตสาหกรรม ถือเป็นสิ่งที่มีศักยภาพต่อการผลักดันให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิตบนเวทีโลก ซึ่ง Paessler ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการมอนิเตอร์ระบบไอที มีความเข้าใจในบทบาทของข้อมูล อันทำหน้าที่เป็นเข็มทิศชี้ทางแก่อุตสาหกรรม และด้วยโซลูชันการมอนิเตอร์ระบบ PRTG

 

ทำให้ Paessler พร้อมที่จะช่วยเหลือธุรกิจและผู้ผลิตในการติดตามการผสานรวมของโลกไอที และ โอที ตลอดจน ดูแลกระบวนการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระบบดิจิทัลให้เดินหน้าอย่างราบรื่น และช่วยให้สามารถ มอนิเตอร์ข้อมูลได้ดีขึ้น ทั้งในสถานที่เดียวกัน และในสาขาต่างๆ

Scroll to Top